@laravelPWA
โองการที่ 79,80 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 79,80 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 0:26:36 11-6-1404

โองการที่ 79,80 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน

 

مَا كانَ لِبَشرٍ أَن يُؤْتِيَهُ اللَّهُ الْكِتَب وَ الْحُكْمَ وَ النُّبُوَّةَ ثُمَّ يَقُولَ لِلنَّاسِ كُونُوا عِبَاداً لى مِن دُونِ اللَّهِ وَ لَكِن كُونُوا رَبَّنِيِّينَ بِمَا كُنتُمْ تُعَلِّمُونَ الْكِتَب وَ بِمَا كُنتُمْ تَدْرُسونَ (79) وَ لا يَأْمُرَكُمْ أَن تَتَّخِذُوا المَْلَئكَةَ وَ النَّبِيِّينَ أَرْبَاباً أَ يَأْمُرُكُم بِالْكُفْرِ بَعْدَ إِذْ أَنتُم مُّسلِمُونَ (80)

ความหมาย

79. ไม่เหมาะสมสำหรับทุกคนที่อัลลอฮฺ จะทรงประทานคัมภีร์ และข้อตัดสิน และการเป็นศาสนทูตแก่เขา หลังจากนั้น เขากล่าวแก่ผู้คนว่า นอกเหนือจากอัลลอฮแล้ว จงเคารพภักดีฉัน แต่ (เหมาะสมกับตำแหน่งของเขา หากกล่าวว่า) จงเป็นผู้ยึดมั่น และภักดีต่อพระผู้อภิบาล เนื่องจากพวกท่านเคยสอนคัมภีร์ และเคยศึกษาคัมภีร์มา

80. และเขาจะไม่สั่งให้สูเจ้ายึดเอามลาอิกะฮฺ และบรรดาศาสนทูตเป็นผู้บริบาล เขาสั่งสูเจ้าให้ปฏิเสธ หลังจากที่สูเจ้าเป็นมุสลิมแล้วกระนั้นหรือ

สาเหตุของการประทานโองการ

เกี่ยวกับสองโองการนี้ มี 2 สาเหตุของการประทาน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีรายงานว่า มีกลุ่มชนหนึ่งมาพบท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และกล่าวว่า เราจะสลามท่านเหมือนกับคนอื่น แต่ในทัศนะของเราการกระทำเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอ เราขอร้องให้ท่านอนุญาตเรากระทำสิ่งที่พิเศษไปกว่านี้ต่อท่าน ขอให้เรากราบ (ซํจญ์ดะฮฺ) ท่านได้หรือไม่ ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้กราบสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากพระเจ้า ดังนั้น จงเคารพ ศาสนทูตของเจ้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่จงรูจักสิทธิของเขา และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามเขา

คำอธิบาย ไม่อาจเชิญชวนไปสู่การเคารพภักดีสิ่งอื่นนอกจากพระเจ้า

โองการนี้กล่าวปฏิเสธ และปรับปรุงความคิดที่ผิดพลาดของชาวคัมภีร์กลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะคริสเตียน ที่อ้างว่าอีซา (อ.) เป็นพระเจ้า และเป็นคำตอบแก่กลุ่มชนที่พยายามยกย่องท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ว่า เป็นพระเจ้าโดยกล่าวว่า ไม่เหมาะสมสำหรับทุกคนที่อัลลอฮฺ จะทรงประทานคัมภีร์ และข้อตัดสิน และการเป็นศาสนทูตแก่เขา หลังจากนั้น เขากล่าวแก่ผู้คนว่า นอกเหนือจากอัลลอฮแล้ว จงเคารพภักดีฉัน มิใช่ศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เพียงท่านเดียว แต่ศาสดาทั้งหมดที่ส่งลงมา ไม่มีสิทธิ์กล่าวเช่นนี้เด็ดขาด ซึ่งการพาดพิงเช่นนี้กับบรรดาศาสดา เป็นการกระทำของผู้ที่ไม่เข้าใจ และห่างไกลจากการสอนสั่งของศาสดา เป็นไปได้อย่างไร เมื่อตำแหน่งการเป็นศาสนทูตได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า แต่กลับเชิญชวนมนุษย์ไปสู่การตั้งภาคีเทียบเคียงกับพระองค์

แน่นอน มวลมลาอิกะฮฺไม่เคยละเมิดสิทธิการเป็นปวงบ่าว พวกเขาเคารพภักดีต่อพระเจ้าด้วยความนอบน้อม มากกว่าบุคคลใดตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะออกนอกเส้นทางการเชื่อฟังพระเจ้า และเชิญชวนมนุษย์ไปสู่การตั้งภาคีเทียบเคียงกับพระองค์

คำว่า ร็อบบานียีน เป็นพหูพจน์ของคำว่า ร็อบบานี ซึ่งจะกล่าวแก่บุคคลที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระผู้อภิบาลมั่นคงแข็งแรง อีกด้านหนึ่งคำว่า ร็อบ จะกล่าวแก่บุคคลที่ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนผู้อื่น ฉะนั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับคำนี้ ในโองการข้างต้นจึงหมายถึง ไม่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่ศาสดาจะเชิญชวนให้ประชาชน มาเคารพภักดีตน สิ่งที่เหมาะสมสำหรับศาสดาคือ เชิญชวนประชาชนไปสู่การเรียนรู้โองการต่าง ๆ ของพระเจ้า และแก่นแท้ความจริงของศาสนา และต้องไม่เคารพภักดีสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า สิ่งที่เข้าใจได้อีกประการหนึ่งคือ เป้าหมายของบรรดาศาสดามิใช่การอบรมสั่งสอนประชาชนเท่านั้น แต่ท่านเป็นผู้ฝึกฝน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้อบรม และเป็นผู้นำของปวงชน หมายถึงผู้ที่สามารถทำให้สถานภาพของตนเป็นที่ประจักษ์ ด้วยความรู้และความศรัทธา

โองการถัดมากล่าวว่า แน่นอน ศาสดาจะไม่เชิญชวนมนุษย์ให้เคารพภักดีตน หรือมวลมลาอิกะฮฺ หรือศาสดาท่านอื่น ๆ เด็ดขาด โองการกล่าวว่า ไม่เหมาะสมที่ศาสดาจะสั่งให้สูเจ้ายึดเอามลาอิกะฮฺ และศาสนทูตเป็นผู้บริบาลตน ซึ่งประโยคนี้ เป็นคำตอบสำหรับผู้ปฏิเสธชาวอาหรับ ที่เชื่อว่ามวลมลาอิกะฮฺ เป็นบุตรีของพระเจ้า และเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้บริบาลในลักษณะหนึ่ง เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้ยึดมั่นศาสนาของอิบรอฮีม (อ.) เป็นคำตอบแก่พวกซออิบาน ซึ่งกล่าวว่า พวกตนคือ ผู้ปฏิบัติตามแนวทางของยะฮฺยา (อ.) แต่เคารพภักดีและยกย่องตำแหน่งของมลาอิกะฮฺ และเป็นคำตอบแก่ยะฮูดีย์ และคริสเตียน ที่แนะนำว่าอะซีซ หรือมะซีฮฺ เป็นบุตรของพระเจ้า และเชื่อว่ามีส่วนร่วมในการบริบาลของพระเจ้า

โองการตอบคำกล่าวอ้างทั้งหมดว่า เป็นไปไม่ได้ที่ศาสดาผู้ซึ่งมีความรู้ของพระเจ้า จะเชิญชวนมนุษย์ไปสู่การเคารพภักดีสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระองค์

เป็นไปได้ไหมที่ศาสดาจะเชิญชวนมนุษย์ให้ปฏิเสธ และอนุญาตให้กราบไหว้ท่าน แน่นอน สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากคำว่า อิสลาม ตรงนี้มีความหมายกว้าง ถูกใช้ในความหมายของการยอมสวามิภักดิ์ต่อบัญชาของพระเจ้า และศรัทธาต่อความเป็นเอกะของพระองค์ ฉะนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร สำหรับศาสดาท่านหนึ่ง เบื้องต้นเชิญชวนมนุษย์ไปสู่การเชื่อมั่นในพระเจ้าองค์เดียว หลังจากนั้น แสดงแนวทางของการตั้งภาคีเทียบเทียมพระองค์แก่มนุษย์ หรือเป็นไปได้อย่างไร ที่ว่าศาสดามุฮัมมัดคือ บทสรุปความยากลำบากของบรรดาศาสดาก่อนหน้านี้ ที่เชิญชวนไปสู่อิสลาม แต่ท่านกลับทำลายทุกสิ่งจนหมดสิ้น และเบี่ยงเบนมนุษย์ไปสู่การปฏิเสธ และการตั้งภาคี

ประเด็นสำคัญ

ไม่อนุญาตให้เคารพภักดีมนุษย์ โองการข้างต้นกล่าวประณามการเคารพภักดีสิ่งอื่นนอกจากพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ด้วยกัน พระเจ้าทรงสร้างจิตวิญญาณ ความอิสรเสรี และบุคลิกภาพแก่มนุษย์ จิตวิญญาณซึ่งมนุษย์ปราศจากมันจะไม่เรียกว่าเป็นมนุษย์ นั้นคือจิตวิญญาณที่นอบน้อม และยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้า

การรู้จักสัจธรรมและความเท็จ ซึ่งจริง ๆ แล้ว หนึ่งในแนวทางของการรู้จักผู้เชิญชวนว่าสัตย์จริงหรือเท็จ กล่าวคือ แนวทางที่สัตย์จริง นายของผู้เชิญชวนคือ บรรดาศาสดา และอิมามทั้งหลาย วันซึงเมื่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ตกทอดมาถึงพวกเขา เขาจะเริ่มเชิญชวนประชาชนไปสู่เป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา และของความเป็นมนุษย์นั่นคือ การเชื่อมั่นและเคารพภักดีในพระเจ้าองค์เดียว ส่วนผู้ที่เชิญชวนไปสู่ความเท็จ เมื่อพวกเขาได้อำนาจสิ่งแรกที่พวกเขากระทำคือ การเชิญชวนมนุษย์มายังเขา การสนับสนุนของประชาชนถือเป็นการจงรักภักดีชนิดหนึ่ง และดำเนินการชี้นำด้วยความยโส

อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า วันหนึ่งเมื่ออิมามไปถึงยังเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นชายแดนของอิรัก ชาวบ้านได้ออกมาต้อนรับตามประเพณีของพวกเขา กล่าวคือพวกเขาลงจากพาหนะ และรีบวิ่งมายังอิมาม พร้อมกับกราบแสดงความเคารพ อิมาม (อ.) นอกจากจะไม่พอใจแล้ว ยังแสดงโทสะอย่างรุนแรงพร้อมกับกล่าวว่า พวกเจ้าทำอะไรกัน พวกเขาตอบว่า นี่เป็นประเพณีของเรา ที่แสดงการต้อนรับผู้เป็นเจ้านาย อิมาม กล่าวว่า ฉันขอสาบานด้วนนามของพระเจ้าว่าเจ้านายของเจ้าจะไม่ได้รับประโยชน์จากกระทำดังกล่าว และบนโลกนี้พวกเจ้าจะเดือดร้อน ส่วนในโลกหน้าพวกเจ้าจะลำบากยากเข็ญ เป็นความเสียหายอย่างยิ่งที่ผลของความยากลำบากคือ การลงโทษของพระเจ้า และเป็นประโยชน์อนันต์ที่ ผลของการนอบน้อมและความเสรีคือ ความปลอดภัยจากไฟนรก