@laravelPWA
โองการที่ 64 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 64 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 2:10:43 11-6-1404

โองการที่ 64 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน

 

قُلْ يَأَهْلَ الْكِتَبِ تَعَالَوْا إِلى كلِمَةٍ سوَاءِ بَيْنَنَا وَ بَيْنَكمْ أَلا نَعْبُدَ إِلا اللَّهَ وَ لا نُشرِك بِهِ شيْئاً وَ لا يَتَّخِذَ بَعْضنَا بَعْضاً أَرْبَاباً مِّن دُونِ اللَّهِ فَإِن تَوَلَّوْا فَقُولُوا اشهَدُوا بِأَنَّا مُسلِمُونَ (64)

ความหมาย

64. จงกล่าวเถิด โอ้บรรดาชาวคัมภีร์ จงมายังถ้อยคำที่เสมอกันระหว่างพวกเรา และพวกท่าน คือเราจะไม่เคารพภักดีผู้ใด นอกจากอัลลอฮฺองค์เดียว และเราจะไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ และบางคนในหมู่พวกเราจะไม่ยึดเอาบางคนเป็นผู้บริบาลอื่นจากอัลลอฮฺ เมื่อใดที่พวกเขาหันหลังกลับ จงกล่าวเถิด จงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นมุสลิม

คำอธิบาย การเชิญชวนไปสู่เอกภาพ

อัล-กุรอานโองการแรกที่ประกาศเชิญคริสตศาสนิก หลังจากอธิบายด้วยเหตุผลในเชิงตรรกะ และวิทยปัญญา ขั้นสุดเรียกร้องให้สบถ ซึ่งส่งผลแก่จิตใจของพวกเขาได้ระยะหนึ่ง พวกเขายอมจ่ายส่วนแก่อาณาจักรอิสลามในฐานะผู้อาศัยแผ่นดินอิสลาม แต่พวกเขาได้แสดงความดื้อรั้นอีก และพยายามหาเหตุผลมาลบล้าง ซึ่งการพิสูจน์ด้วยเหตุผลครั้งนี้ต่างไปจากครั้งก่อน

โองการก่อนหน้านี้ เชิญชวนไปสู่อิสลามทั้งหมดที่มีอยู่ แต่โองการนี้เชิญชวนไปสู่ประเด็นร่วมที่มีความคล้ายเหมือนกัน ระหว่างอิสลามกับศาสนาแห่งฟากฟ้าของชาวคัมภีร์ ซึ่งพระเจ้าทรงกำชับแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ในความเป็นจริง อัล-กุรอาน ต้องการสอนวิธีพิสูจน์หาเหตุผลแก่เราว่า ถ้าบุคคลที่ไม่พร้อมที่ให้ความร่วมมือในทุกด้าน ก็จงแสวงหาจุดร่วมที่มีความสำคัญ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากพวกเขา

โองการข้างต้นประหนึ่งเป็นการเรียกร้องหาความเป็นเอกภาพ ระหว่างอิสลามกับศาสนาทั้งหลายแห่งฟากฟ้า อัล-กุรอาน กล่าวกับพวกคริสต์ว่า พวกเจ้ากล่าวอ้างถึงความเป็นเอกภาพของพระเจ้า แม้กระทั่งเชื่อว่าพระเจ้าทั้งสาม (พระบุตร พระจิต พระวิญญาณ) ไม่มีความแตกต่างกับพระเจ้าผู้ทรงเอกะ ด้วยเหตุนี้ จึงเชื่อว่าพระเจ้าทั้งสามคือหนึ่งเดียว

สิ่งที่ควรพิจารณาคือ โองการกล่าวอธิบายความเป็นเอกภาพของพระเจ้า ด้วยนิยามที่แตกต่างกัน อันดับแรกตรัสด้วยประโยคที่ว่า เราจะไม่เคารพภักดีผู้ใด นอกจากอัลลอฮฺ ประโยคถัดมาตรัสว่า เราจะไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ และประโยคสุดท้ายตรัสว่า บางคนในหมู่พวกเราจะไม่ยึดเอาบางคนเป็นผู้บริบาลอื่นจากอัลลอฮฺ

ประโยคสุดท้ายบ่งชี้ถึงความจริงดังกล่าว อย่างประณีตที่สุดว่า อีซาเป็นบ่าวและเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับเรา ต้องไม่ยึดถือเขาเป็นพระเจ้า นักอรรถาธิบายอัล-กุรอาน โองการข้างต้น กล่าวว่า อัดดีย์ บุตรของฮาตัม ซึ่งเป็นคริสเตียนมาก่อน ต่อมาเข้ารับอิสลาม หลังจากโองการข้างต้นประทานลงมา เขาเข้าใจคำว่า อัรบาบัน (ผู้บริบาล) ว่าอัล-กุรอานกล่าวว่า ชาวคัมภีร์เคารพภักดีผู้รู้ของตน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล่าวกับศาสดาว่า พวกเขาไม่เคยเคารพบูชาผู้รู้ของเรามาก่อน ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า เจ้ารู้ไหมว่า พวกเขา ต้องการเปลี่ยนบทบัญญัติของพระเจ้า ต้องการขัดขวางพวกเจ้าไม่ให้เชื่อฟัง อัดดีย์ กล่าวว่า ใช่ถูกต้องแล้ว ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า สิ่งนี้ก็คือการแสดงความเคารพภักดีนั่นเอง

คำว่า อัรบาบ เป็นพหูพจน์ ดังนั้น ไม่สามารถนำเอาโองการดังกล่าวเป็นเหตุผลอ้าง การเคารพภักดีอีซา แต่เป็นไปได้ว่า จุดประสงค์ของโองการหมายถึง การสั่งห้ามการเคารพภักดีอีซา และบรรดาผู้รู้ที่หลงผิด

ด้วยเหตุนี้ การหันเหออกจากสัจธรรมของพวกท่าน จะไม่มีผลกระทบใด ๆ กับจิตวิญาณของเรา พวกเรายังคงเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียวต่อไป หมายถึง ยังคงสภาพการเป็นมุสลิมต่อไป เลื่อมใสในในพระเจ้า และยอมรับกฎหมายของพระองค์ว่าเป็นทางการ จะไม่สักการมนุษย์คนใด