@laravelPWA
โองการที่ 61 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 61 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 2:10:0 11-6-1404

โองการที่ 61 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน

 

فَمَنْ حَاجَّك فِيهِ مِن بَعْدِ مَا جَاءَك مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْا نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَ أَبْنَاءَكمْ وَ نِساءَنَا وَ نِساءَكُمْ وَ أَنفُسنَا وَ أَنفُسكُمْ ثُمَّ نَبْتهِلْ فَنَجْعَل لَّعْنَت اللَّهِ عَلى الْكذِبِينَ (61)

ความหมาย

61. ดังนั้น ผู้ใดที่โต้แย้งเจ้าในเรื่องของเขา (อีซา) หลังจากได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ดังนั้น จงกล่าวเถิด จงมาซิ เราจะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูก ๆ ของพวกท่าน และเรียกพวกผู้หญิงของเรา และพวกผู้หญิงของพวกท่าน และชีวิตของพวกเรา และชีวิตของพวกท่าน เวลานั้น เราจะวิงวอนกัน (สบถ) และขอให้การสาปแช่งอัลลอฮฺ พึงประสบ แก่พวกมุสา

สาเหตุของการประทานโองการ

โองการนี้กับโองการก่อนหน้านี้ ประทานให้แก่ผู้รู้ชาคริสต์เผ่านัจรอน และผู้ร่วมทาง พวกเขาเดินทางมาพบท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และกล่าวว่า ท่านเคยเห็นบุคคลที่เกิดขึ้นโดยปราศจากบิดาบ้างไหม เวลานั้นโองการที่ว่า อุปมาของอีซา ณ อัลลอฮฺ ประหนึ่งอุปมัยของอาดัม...ถูกประทานลงมา แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมรับเหตุผล โองการข้างต้นจึงประทานลงมา เพื่อเรียกร้องพวกเขาออกไปสบถ เมื่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เรียกร้อง พวกเขาขอเวลาผลัดเป็นวันรุ่งขึ้น เพื่อปรึกษาหารือกับผู้รู้ เวลานั้น อุซกุฟ ผู้รู้ของพวกเขากล่าวว่า พรุ่งนี้พวกเจ้าจงสังเกตดูซิว่า มุฮัมมัดจะนำผู้ใดออกมาทำการสบถ ถ้าเขาพาลูกหลานและครอบครัวของเขาออกมาสบถ พวกเจ้าจงอย่าสาบถ และจงยกเลิกพิธีการเสีย แต่ถ้าเขาพาสาวกออกมา พวกเจ้าจงสบถกับเขาเนื่องจากคำอ้างของเขาไม่มีน้ำหนัก พอวันรุ่งขึ้น ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ออกมาพร้อมกับอะลี ฮะซัน ฮุซัยนฺ และฟาฏิมะฮฺ พวกคริสตเตียนก็ออกมาเช่นกัน แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าท่านศาสดา พาคนออกมาเพียงไม่กี่คน จึงมีการถามขึ้นว่าเหล่านั้นเป็นใคร กล่าวว่า ชายที่เดินเคียงข้างเขา ชื่อว่าอะลีเป็นบุตรชายของลุงและเป็นบุตรเขยของเขา สิ่งถูกสร้างของพระเจ้าที่เขารักมากที่สุด ส่วนเด็กสองคนนั้นเป็นหลานชาย ลูกชายของอะลีกับฟาฏิมะฮฺ บุตรสาวของเขา ส่วนหญิงสาวที่ร่วมเดินมาด้วยคือ ฟาฏิมะฮฺบุตรสาวของเขา ซึ่งเป็นที่รักยิ่งของเขา

สานุศิษย์กล่าวกับ อุซกุฟว่า พวกเราจะออกไปสบถหรือไม่

กล่าวว่า ไม่ ฉันเห็นบุคคลที่ออกมาสบถแล้ว เขามาด้วยความกล้าหาญโดยไม่เกรงกลัวผู้ใด ฉันเกรงว่าถ้าเขาพูดจริง พวกเราจะถูกพระเจ้าสาปแช่งอย่างแน่นอน และจะไม่มีชาวคริสต์คนใดหลงเหลือบนโลกนี้อีก

อุซกุฟ กล่าวกับท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ว่า โอ้ อบุลกอซิม พวกเราขอเลิกล้มการสบถกับท่าน พวกเราจะปรับความเข้าใจและขอยุติความขัดแย้ง ท่านจงยุติข้อขัดแย้งกับเรา ท่านศาสดาได้ยุติข้อขัดแย้ง พวกเขาจำเป็นต้องส่งส่วยรายปีก แก่ศาสดาเป็นผ้าอย่างดี 2000 ม้วน ตกราคาม้วนละ 40 ดิรฮัม เสื้อเกราะ 30 ตัว หอก 30 เล่ม บังเหี้ยนม้า 30 อัน

รายงานกล่าวว่า อุซกุฟ กล่าวกับบรรดาชาวคริสต์ว่า ฉันมีความรู้สึกว่า ถ้าพวกเขาขอต่อพระเจ้าให้ถอดถอนภูเขา แน่นอนมันจะถูกถอดถอนอย่างง่ายดาย จงอย่าสบถกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้น พวกเจ้าจงพบกับความพินาศตลอดไป และจะไม่มีชาวคริสต์คนใดหลงเหลืออีก

คำอธิบาย การสบถกับชาวคริสต์นัจรอน

โองการนี้เป็นอีกโองการหนึ่งที่ปฏิเสธการเป็นพระเจ้าของอีซา (อ.) โดยบัญชาแก่ทานศาสดามุฮัมมัดว่า หลังจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องอีซามะซีฮฺ ได้มายังสูเจ้าแล้ว ถ้าพวกเขาโต้แย้งกับเจ้าอีก จงบอกพวกเขาไปว่า มาซิ เราจะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูก ๆ ของพวกท่าน และเรียกพวกผู้หญิงของเรา และพวกผู้หญิงของพวกท่าน และชีวิตของพวกเรา และชีวิตของพวกท่าน เวลานั้น เราจะวิงวอนกัน (สบถ) และขอให้การสาปแช่งอัลลอฮฺ พึงประสบ แก่พวกมุสา

จุดประสงค์ของ มุบาฮิละฮ (สบถ) มิใช่การเชิญชวนผู้คนมา และสาปแช่งใส่กัน หลังจากนั้นก็แยกกันไป เนื่องจากการกระทำเช่นนี้ มิได้สร้างสรรค์สิ่งใดให้ดีขึ้นมา ทว่าจุดประสงค์ต้องการให้การสบถเกิดผล และให้พระเจ้าสาปแช่งฝ่ายที่มุสา อีกนัยหนึ่ง แม้ว่าผลของการมุบาฮะละฮฺ จะไม่ปรากฏชัดเจนก็ตาม แต่การกระทำเช่นนี้เป็นหนทางสุดท้าย ภายหลังจากเหตุผล และการพิสูจน์ในเชิงวิชาการไม่เป็นผล อันเป็นเหตุผลที่บ่งบอกว่าจุดประสงค์คือ ผลสะท้อนภายนอกของการสาปแช่ง ซึ่งไม่ใช่การสาปแช่งธรรมดา

ประเด็นสำคัญ
1. การเชิญชวนไปสู่การสบถเป็นเหตุผลที่ชัดเจนของความถูกต้องของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)

โองการข้างต้นพระเจ้าทรงบัญชาแก่ศาสดาของพระองค์ว่า เมื่อใดที่เหตุผลอันชัดเจนเกี่ยวกับอีซามะซีฮฺ ไม่เป็นที่ยอมรับ และพวกเขายังแสดงความดื้อดึง เจ้าจงเรียกร้องให้พวกเขามาทำมุบาฮะละฮฺ (สบถ) กัน

รายงานกล่าวว่า เมื่อมุบาฮะละฮฺเริ่มต้นขึ้น ตัวแทนชาวคริสต์ขอเวลากับท่านศาสดาทันที เพื่อคิดทบทวน และปรึกษาหารือกับผู้รู้ของพวกเขา ผลของการปรึกษาหารือ ถ้ามุฮัมมัดพาครอบครัวและคนใกล้ชิดออกมา เจ้าจงหลีกเลี่ยงการสบถ เนื่องจากเขาเป็นศาสดาและสัจธรรมอยู่กับเขา แต่ถ้ามุฮัมมัดพาคนอื่นออกมาเจ้าจงสบถกับพวกเขา เมื่อถึงกำหนดเวลา ศาสดามุฮัมมัด ได้พาครอบครัวออกมาซึ่งประกอบด้วยอะลี ฟาฏิมะฮฺ ฮะซัน และฮุซัยนฺ ท่านศาสดาสั่งทุกคนว่า เมื่อฉันดุอาอ์จบพวกเธอจงกล่าวว่า อามีน เมื่อพวกคริสเตียนเห็นเช่นนั้น จึงขอยกเลิกการสบถ ยอมยุติข้อโต้แย้ง และยอมจ่ายส่วยรายปีแก่อาณาจักรอิสลาม

2. มุบาฮะละฮฺคือ หลักฐานที่มีชีวิตสำหรับความยิ่งใหญ่ของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ

นักอรรถาธิบายอัล-กุรอาน ส่วนใหญ่ทั้งซุนนีย์ และชีอะฮฺ ต่างยอมรับว่าโองการดังกล่าวประทานให้ครอบครัวของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จุดประสงค์ของลูก ๆ ของเราในโองการหมายถึงฮะซัน และฮุซัยนฺ (อ.) ผู้หญิงของเรา หมายถึง ฟาฏิมะฮฺ (อ.) และชีวิตของเราหมายถึง อะลี (อ.) ประเด็นดังกล่าวมีรายงานกล่าวไว้มากมาย นักวิชาการฝ่ายซุนนีย์ส่วนใหญ่ยอมรับว่า โองการข้างต้นประทานให้กับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เช่น

1. มุสลิม บุตรของฮัจญาจ บีชาบูรีย์ อัซซิฮะฮฺ ที่มีชื่อเสียงของซุนนีย์ เล่ม 7 หน้า 120 พิมพ์ที่ มุฮัมมัด อะลี เซาะบีฮ์ อียิปต์

2. อะฮฺมัด ฮัมบัล มุสนัด เล่ม 1 หน้า 185 พิมพ์ที่อียิปต์

3. ฏ็อบรีย์ หนังสืออรรถาธิบายกุรอาน ที่มีชื่อเสียงของเขา ตอนอธิบายโองการดังกล่าว เล่ม 3 หน้า 192 พิมพ์ที่ อียิปต์

4. ฮากิม หนังสือมุสนัด เล่ม 3 หน้า 150

5. ฟัรรุร รอซีย์ หนังสืออรรถาธิบายกุรอาน ที่มีชื่อเสียง เล่ม 8 หน้า 85 พิมพ์ที่ อัลบะฮียะฮฺ อียิปต์

6. อิบนิ อะซีร หนังสือญามิอุลอุซูล เล่ม 9 หน้า 470 พิมพ์ครั้งที่ 7 อัลมุฮัมมะดียะฮฺ อียิปต์

7.อิบนิ เญาซีย์ หนังสือตัซกิเราะฮฺ อัลคอซ หน้าที่ 17 พิมพ์ที่ นะญัฟ

8.กอฎีย์ บัยฎอวีย์ หนังสืออรรถาธิบายกุรอานของตน เล่ม 2 หน้า 22 พิมพ์ที่ มุซเฎาะฟามุฮัมมัด อียิปต์

9. อาลูซีย์ หนังสืออรรถาธิบายกุรอาน รูฮุลมะอานีย์ เล่ม 3 หน้า 167 พิมพ์ที่ มุนีรียะฮฺ อียิปต์

10. ซะมัคชะรีย์ หนังสืออรรถาธิบายกุรอาน อัลกิชาบ เล่ม 1 หน้า 193 พิมพ์ที่ มุซเฎาะฟามุฮัมมัด อียิปต์

หนังสือ ฆอยะตุลมะรอม บันทึกจาก หนังสือเซาะฮีย์มุสลิม หมวด ความประเสริฐของอะลี บุตร อบีฏอลิบ บันทึกว่า วันหนึ่งมุอาวิยะฮฺ กล่าวแก่สะอัด บุตร อบีวะกอซว่า เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่สาปแช่งและด่าว่าอะลี

กล่าวว่า ฉันจำได้ว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวถึงอะลีไว้ 3 ประการ เมื่อฉันคิดถึงคำพูดท่านศาสดา ทำให้ฉันละอายใจที่จะสาปแช่งอะลี หนึ่งในสามประการดังกล่าวได้แก่ เมื่อโองการมุบาฮะละฮฺ ถูกประทานลงมา ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้นำอะลี ฟาฏิมะฮฺ ฮะซัน และฮุซัยนฺ ออกไป หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า โอ้พระเจ้า พวกเขาคือลูกหลานใกล้ชิดของฉัน

3. การมุบาฮะละฮฺกฎเกณฑ์ทั่วไปของสังคม

การมุบาฮะละฮฺ มิได้เจาะจงเฉพาะศาสดา (ซ็อล ฯ) ไม่ว่าสมัยใดก็ตาม ถ้ามีความมั่นใจในความศรัทธา สามารถทำมุบาฮะละฮฺได้ แต่สำหรับประเด็นที่มิได้เป็นประเด็นหลักไม่สมควรมุบาฮะละฮฺ เนื่องจากมุบาฮะละฮฺ จะกระทำเฉพาะประเด็นหลักที่มีความสำคัญ หรือเป็นประเด็นที่เป็นรากฐานของศาสนา หนังสืออรรถาธิบายกุรอาน นูรุซซเกาะลัยน์ เล่ม 1 หน้า 351 บันทึกรายงานจาก อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า ถ้าศัตรูไม่ยอมรับความจริง จงเรียกร้องให้เขามามุบาฮะละฮฺ นักรายงานถามว่า มุบาฮะละฮฺทำอย่างไร กล่าวว่า จงปรับปรุงความประพฤติของตน 3 วัน ผู้รายงานกล่าวว่า ฉันคิดว่า อิมาม กล่าวให้ถือศีลอด อาบน้ำตามหลักการศาสนา และออกไปท้องทุ่งพร้อมกับบุคคลที่จะมุบาฮะละฮฺ หลังจากนั้นให้เอานิ้วมือขวาแตะกับนิ้วมือขวาของเขา และตนเริ่มกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ พระองค์คือ พระผู้อภิบาลแห่งฟากฟ้าและแผ่นดินทั้งเจ็ด พระองค์รอบรู้ความเร้นลับทั้งหลาย ทรงเมตตา ทรงปรานี ถ้าผู้ปฏิเสธฉัน ปฏิเสธสัจธรรม และอ้างความเท็จ ขอพระองค์โปรดประทานการลงโทษอันสาหัสแก่เขา หลังจากนั้นให้กล่าวซ้ำอีกครั้ง อิมาม กล่าวว่า ในไม่ช้าท่านจะเห็นผลของการสบถ ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งพระเจ้าว่า ฉันยังไม่เคยเห็นว่าบุคคลใดพร้อมที่จะสบถกับฉัน

4. เพราะเหตุใดอัล-กุรอานจึงให้กริยาที่เป็นพหูพจน์

คำถามที่นักอรรถาธิบายอัล-กุรอานมักตั้งเป็นปุจฉาว่า เป็นไปได้อย่างไรที่จุดประสงค์ของ ลูก ๆ ของเรา จะหมายถึง ฮะซัน และฮุซัยนฺ ขณะที่คำว่า อับนา (ลูก ๆ) เป็นพหูพจน์ ซึ่งพหูพจน์ใช้กับสิ่งที่มีจำนวนมากเกินสองขึ้นไป ขณะเดียวกันคำว่า นิซาอะนา (ผู้หญิงของเรา) มีความหมายเป็นพหูพจน์ แต่ในที่นั้นหมายถึง ฟาฏิมะฮฺเพียงคนเดียว ถ้าจุดประสงค์ของคำว่า อันฟุซะนา (ชีวิตของเรา) หมายถึงอะลี เพราะเหตุใดจึงใช้คำที่เป็นพหูพจน์

ประการแรก นักปราชญ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน ตลอดจนรายงานจำนวนมาก จากตำรา และแหล่งอ้างอิงที่มีชื่อเสียง ทั้งมาจากฝ่ายซุนนีย์ และชีอะฮฺต่างยอมรับว่า โองการดังกล่าว ประทานให้กับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) และยอมรับว่าในวันนัดหมายมุบาฮะละฮฺ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มิได้พาบุคคลอื่นออกไปนอกจากบุคคลที่เอ่ยนามมาเท่านั้น สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนสำหรับคำอธิบาย เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า สัญลักษณ์ของการอรรถาธิบายคือ แบบฉบับของศาสดา และสาเหตุของการประทานโองการ ดังนั้น ข้อโต้แย้งมิได้จำกับอยู่แค่ว่า ชีอะฮฺต้องเป็นฝ่ายตอบ ทว่านักวิชาการอิสลามทั้งหมดต้องตอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์

ประการที่สอง การใช้กริยาที่เป็นพหูพจน์กับสิ่งที่เป็นเอกพจน์ มิใช่สิ่งใหม่ในอัล-กุรอาน เพราะนอกจากอัล-กุรอาน และหลักภาษาอาหรับแล้ว ในภาษาอื่น ๆ ก็ใช้ในลักษณะเดียวกัน เช่น โองการที่ 173 บทเดียวกันกล่าวว่า บรรดาผู้ที่ปวงชน กล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริง ผู้คนได้ชุมนุมต่อท่าน ดังนั้น จงกลัวพวกเขาเถิด จุดประสงค์ของคำว่า ปวงชน (อันนาซ) นักอรรถาธิบายส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าหมายถึง นะอีม บุตรของมัสอูด เขาได้รับทรัพย์สินส่วนหนึ่งมาจากมุอาวิยะฮฺ ว่าจ้างให้มากรุข่าว เพื่อให้มุสลิมกลัวทัพของผู้ปฏิเสธ

บางครั้งการใช้คำพหูพจน์กับสิ่งที่เป็นเอกพจน์ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ หรือให้เกียรติ เช่น เรื่องราวของอิบรอฮีมที่กล่าวว่า อิบรอฮีมเป็นประชาชาติหนึ่ง ที่นอบน้อม ณ พระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งคำว่า อุมมัต (ประชาชาติ) เป็นนามที่เป็นพหูพจน์ แต่ใช้กับอิบรอฮีมเพียงคนเดียว