โองการที่ 42,43 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
وَ إِذْ قَالَتِ الْمَلَئكةُ يَمَرْيَمُ إِنَّ اللَّهَ اصطفَاكِ وَ طهَّرَكِ وَ اصطفَاكِ عَلى نِساءِ الْعَلَمِينَ (42)يَمَرْيَمُ اقْنُتى لِرَبِّكِ وَ اسجُدِى وَ ارْكَعِى مَعَ الرَّكِعِينَ (43)
ความหมาย
42. และจงรำลึกถึง เมื่อมลาอิกะฮฺ กล่าวว่ามัรยัมเอ๋ย แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเลือกเธอ และทรงทำให้เธอบริสุทธิ์ และได้ทรงเลือกเธอให้เหนือบรรดาหญิงแห่งประชาชาติทั้งหลาย
43. มัรยัมเอ๋ย (เพื่อขอบคุณความโปรดปราน) จงนอบน้อมต่อพระผู้อภิบาลของเธอ และจงกราบ และโค้งคารวะ ร่วมกับบรรดาผู้โค้งคารวะ
คำอธิบาย มัรยัมสตรีผู้ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า
โองการนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของมัรยัมอีกครั้งหนึ่งทั้งภายนอก ภายใน และตำแหน่งอันทรงเกียรติของเธอ สิ่งที่ควรพิจารณาคือ ประโยคที่กล่าวว่า พระเจ้าทรงเลือกเธอ ถูกกล่าวซ้ำสองครั้ง ครั้งแรกอธิบายถึงการเลือกสรรเธอในฐานะที่มีความประเสริฐทีสุด ครั้งสองเนื่องจากเธอมีความประเสริฐเหนือบรรดาสตรีแห่งประชาชาติทั้งหลาย
โองการนี้ยืนยันให้เห็นว่า ท่านหญิงมัรยัม เป็นสตรีมีเกียติที่สุดในยุคสมัยของตน ซึ่งประเด็นนี้มิได้ขัดแย้งกันกับประเด็นที่ว่า ฟาฏิมะฮฺ บุตรีของศาสดาอิสลามเป็นหญิงที่มีความประเสริฐกว่าหญิงในสากลโลก เนื่องจากรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า มัรยัมเป็นหญิงประเสริฐที่สุดในสมัยตน ส่วนฟาฏิมะฮฺเป็นหญิงที่ประเสริฐกว่าบรรดาหญิงในสากลโลกตั้งแต่คนแรกจนกระทั่งคนสุดท้าย[1]
คำว่า อัลอาละมีน มิได้ขัดแย้งกับคำพูดที่กำลังกล่าวถึงแม้แต่เล็กน้อย เนื่องจากคำ ๆ นี้ ที่กล่าวในอัล-กุรอานส่วนใหญ่หมายถึงประชาชาติในสมัยของตน หรือประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยของตน ดังที่อัล-กุรอาน กล่าวไว้เกี่ยวกับวงศ์วานของอิสรออีลว่า ฉันได้เลือกพวกเจ้าให้เหนือประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า เหนือกว่าตรงนี้ หมายถึง บรรดาผู้ศรัทธาแห่งวงศ์วานอิสรออีล และประชาชาติร่วมสมัยของตน
โองการถัดมากล่าวถึงคำพูดของมลาอิกะฮฺ ที่กล่าวกับมัรยัม กล่าวว่า มัรยัมเอ๋ย เพื่อขอบคุณความโปรดปราน พระผู้อภิบาลทรงเลือกให้เธอเหนือกว่าบรรดาหญิงทั้งหลายในยุคสมัยของตน เธอประเสริฐและบริสุทธิ์กว่า ดังนั้น จงนอบน้อมต่อพระผู้อภิบาลของเธอ และจงกราบ และโค้งคารวะ ร่วมกับบรรดาผู้โค้งคารวะ
ตรงนี้พระเจ้าทรงมีบัญชา 3ประการให้มัรยัมปฏิบัติ อันดับแรก จงนอบน้อมต่อพระผู้อภิบาล ซึ่งคำนี้ดั่งที่เคยอธิบายไปแล้วว่า หมายถึงการนอบน้อมและการแสดงความจงรักภักดีอย่างต่อเนื่อง อันดับที่สอง จงซุญูด (ก้มกราบ) เป็นการแสดงความเคารพต่อพระเจ้า ที่สมบูรณ์ที่สุด อันดับสาม จงรุกูอ์ (โค้งคารวะ) ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพนอบน้อมอีกประเภทหนึ่ง
ประโยคที่กล่าวว่า และโค้งคารวะ ร่วมกับบรรดาผู้โค้งคารวะ หมายถึงจงโค้งพร้อมกับผู้ที่โค้งคารวะทั้งหลาย เป็นไปได้ที่ประโยคนี้อาจหมายถึง นมาซญะมาอะฮฺ หรือการเข้าร่วมนมาซญะมาอะฮฺด้วยความนอบน้อม ดุจดังเช่นที่ผู้นอบน้อมคนอื่น กำลังกระทำ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า ฉะนั้น เจ้าจงปฏิบัติเหมือนกับเขา
เพราะสาเหตุใด อันแรกโองการนี้จึงกล่าวถึงการซุญูด (กราบ) หลังจากนั้นกล่าวถึง การรุกูอ์ (โค้งคารวะ) เนื่องจากว่าจุดประสงค์ของโองการคือ การปฏิบัติทั้งสองคำสั่ง มิใช่การเรียงตามคำสั่ง เหมือนกับสั่งว่า จงนมาซ วุฎูอ์ และทำความสะอาดด้วย หมายถึง จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ทั้งหมด ตามหลักภาษาอาหรับถือว่า การเชื่อมต่อประโยคด้วยวาว (หนึ่งในคำสันธาน) มิได้บ่งบอกถึงความเป็นระเบียบตามขั้นตอน