@laravelPWA
โองการที่ 33,34 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 33,34 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 2:11:6 11-6-1404

โองการที่ 33,34 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน


إِنَّ اللَّهَ اصطفَى ءَادَمَ وَ نُوحاً وَ ءَالَ إِبْرَهِيمَ وَ ءَالَ عِمْرَنَ عَلى الْعَلَمِينَ (33) ذُرِّيَّةَ بَعْضهَا مِن بَعْضٍ وَ اللَّهُ سمِيعٌ عَلِيمٌ (34)

ความหมาย

33. แท้จริงอัลลอฮ ได้ทรงคัดเลือก อาดัม นูฮฺ และวงศ์วานของอิบรอฮีม และวงศ์วานของอิมรอนให้เหนือประชาชาติทั้งหลาย

34. เป็นเผ่าพงศ์ (ในฐานะที่สะอาด ยำเกรง และมีความประเสริฐ) สืบเชื้อสายจากกันและกัน และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้

คำอธิบาย

โองการข้างต้นเป็นโองการที่เริ่มอธิบายเรื่องราวในอดีตของท่านหญิงมัรยัม และบ่งชี้ถึงฐานันดรอันสูงศักดิ์ของบรรพบุรุษมัรยัม พวกเขาคือตัวอย่างของผู้ที่รักพระผู้อภิบาลอย่างแท้จริง และแสดงออกทางการกระทำ ซึ่งโองการก่อนหน้านี้กล่าวถึงบางส่วนแล้ว

คำว่า อิซเฏาะฟา มาจากรากศัพท์ของคำว่า เซาะฟะวะ หมายถึง การแยกสิ่งหนึ่งให้บริสุทธิ์ ส่วนคำว่า เซาะฟูวะฮฺ หมายถึง การแยกทุสิ่งให้บริสุทธิ์ ฉะนั้น คำว่า อิซเฎาะฟาอฺ จึงหมายถึง การเลือกสรรบางส่วนให้บริสุทธิ์ อาจเป็นไปได้ว่าการคัดเลือกอาจเป็นทั้งตักวีนีย์และตัชรีอีย์ หมายถึงพระเจ้า ทรงให้ความพิเศษพวกเขาตั้งแต่เริ่มสร้าง แม้ว่าพระองค์จะมีการสร้างที่พิเศษ หรือแม้ว่าจะไม่มีการบังคับให้เลือกแนวทางที่ถูกต้องก็ตาม แต่ด้วยเจตนารมณ์เสรีเขาได้เลือกแนวทางดังกล่าว หลังจากนั้น เนื่องจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่ง ความสำรวมตน การขวนขวานบนทางการชี้นำมวลมนุษย์ ทำให้ได้รับความพิเศษใหม่ และสิ่งนี้ได้ผนวกกับความพิเศษที่มีอยู่ในตัว จึงกลายเป็นบุคคลที่ถูกเลือกสรร ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรของพระเจ้าในทัศนะอิสลาม สะอาดบริสุทธิ์ สำรวมตน และเป็นนักต่อสู้เพื่อชี้นำมนุษยชาติ มิได้มีความแตกต่างกัน

โองการข้างต้นนอกจากอาดัม (อ.) แล้ว ได้กล่าวถึงบรรดาศาสดาผู้เป็นเจ้าของบทบัญญัติทุกท่าน ซึ่งนามของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) เพียงท่านเดียวที่ถูกเอ่ยถึง ส่วนที่เหลือพระองค์ตรัสโดยรวมว่า วงศ์วานของอิบรอฮีม ซึ่งหมายถึง ศาสดาอิบรอฮีม มูซา อีซา และศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ส่วนวงศ์วานของอิมรอน พระองค์ทรงบ่งชี้ถึง มัรยัมและศาสดาอีซาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นบทนำสำหรับโองการถัดไป

ประเด็นสำคัญ

1. พระเจ้ามิได้ตรัสถึงบรรดาที่ได้รับการเลือกสรรทั้งหมด ทรงตรัสถึงเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ขณะเดียวกันเมื่อตรัสว่าวงศ์วานของอิบรอฮีม มูซา อิมรอน และศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) นั้นครอบคลุมลูกหลานของท่านด้วย เนื่องจากทั้งหมดเป็นสายตระกูลของอิบรอฮีม (อ.)

2. คำว่า อาลิ แผงมาจากคำว่า อะฮฺลิ แตกต่างกันตรงที่ว่า โดยปกติแล้ว อาลิ จะใช้กับวงศาคณาญาติใกล้ชิด ผู้หลักผู้ใหญ่ และผู้มีเกียรติ ส่วนคำว่า อะฮฺลิ จะมีความหมายกว้างและครอบคลุมมากกว่า ขณะเดียวกันคำว่า อาลิ จะใช้เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ส่วนคำว่า อะฮฺลิ ใช้ได้กับทุกสิ่งทั้งเวลา และสถานที่ เช่น กล่าวว่า อะฮฺลิมะดีนะฮฺ (ชาวเมืองมะดีนะฮฺ) แต่จะไม่กล่าวว่า อาลิมะดะนะฮฺ

3. จุดประสงค์ของผู้ที่ถูกเลือกสรรจากวงศ์วานของอิบรอฮีม และอิมรอม มิได้หมายความว่าบุตรหลานทุกคน ได้รับการเลือกสรร จุดประสงค์ของวงศ์วานอิมรอน ในโองการข้างต้น หมายถึงบิดาของมัรยัม มิได้หมายถึงบิดาของมูซา เนื่องจากทุกที่ในอัล-กุรอาน ถ้าเอ่ยนามของอิมรอน จะหมายถึงบิดาของมัรยัม

4. รายงานจากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) กล่าวว่า โองการข้างต้นได้พิสูจน์ความเป็นผู้บริสุทธิ์ของบรรดาศาสดา และบรรดาอิมาม เนื่องจากพระเจ้าจะไม่ทรงเลือกสรรผู้กระทำผิด หรือเคยเปรอะเปื้อนการตั้งภาคีเทียบเทียม ปฏิเสธ หรือฝ่าฝืนมาก่อน แต่พระองค์จะเลือกสรรบุคคลที่บริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านี้

5. คำว่า อะลัลอาละมีน (ประชาชาติทั้งหลาย) มิได้หมายถึงประชาชาติร่วมสมัยของอาดัมเท่านั้น อาจเป็นไปได้ว่าหมายถึงประชาชาติในทุกยุคทุกสมัย ด้วยเหตุนี้ โองการจึงหมายถึง พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนในหมู่ประชาชาติทั้งหลายตลอดหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งคนแรกในหมู่พวกเขา ที่ทรงเลือกสรรคือ อาดัม หลังจากนั้น นูฮฺ วงศ์วานของอิบรอฮีม และวงศ์วานของอิมรอน ทำให้เข้าใจได้ว่าจุดประสงค์ของคำว่า ประชาชาติทั้งหลาย หมายถึงสังคมมนุษย์ทั้งหมดตลอดทุกยุคทุกสมัย