@laravelPWA
โองการที่ 30 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 30 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 2:10:42 11-6-1404

โองการที่ 30 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน


يَوْمَ تَجِدُ كلُّ نَفْسٍ مَّا عَمِلَت مِنْ خَيرٍ محْضراً وَ مَا عَمِلَت مِن سوءٍ تَوَدُّ لَوْ أَنَّ بَيْنَهَا وَ بَيْنَهُ أَمَدَا بَعِيداً وَ يُحَذِّرُكمُ اللَّهُ نَفْسهُ وَ اللَّهُ رَءُوف بِالْعِبَادِ (30)

ความหมาย

30. วันซึ่งแต่ละชีวิตจะพบความดี ที่ตนได้กระทำปรากฏอยู่ตรงหน้า และมีความหวังว่าระหว่างตนกับความชั่วที่ได้กระทำจะมีระยะเวลาห่างไกลสุด อัลลอฮฺทรงเตือนสำทับสูเจ้าให้ยำเกรง (การฝ่าฝืนคำสั่ง) พระองค์ และอัลลอฮฺ ป็นผู้ทรงปรานีต่อปวงบ่าวทั้งมวล

คำอธิบาย การปรากฏการกระทำของมนุษย์ในวันสอบสวน

โองการนี้อธิบายความสมบูรณ์สิ่งที่โองการก่อนหน้านี้กล่าวถึง ในวันสอบสวนม่านที่ปิดบังการกระทำความดี และความชั่วจะถูกเปิดออก โองการมิได้กล่าวว่า ฉันหวังว่าการกระทำชั่วจะถูกลบล้าง เนื่องจากเป็นที่ทราบดีว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกจะสูญสลาย ทว่ามนุษย์หวังให้มีระยะห่างไกลเหลือ ระหว่างเขากับความชั่ว

คำว่า อะมะดะ ตามรากศัพท์หมายถึง ระยะเวลาที่มีขอบเขตจำกัด ซึ่งแตกต่างกับคำว่า อะบะดะ ตรงที่ว่า อะบะดะ ไม่มีขอบเขตจำกัด โดยปกติแล้ว อะมะดะ จะใส่ใจต่อช่วงระยะเวลาที่กำลังจะสิ้นสุดลง

แน่นอน ผู้กระทำบาป และผู้กระทำความดี ในวันสอบสวนเมื่อการกระทำของตนปรากฏอยู่ตรงหน้า จะมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง ผู้ที่กระทำความดีเมื่อเห็นการกระทำของตนจะแสดงความดีใจ ส่วนผู้ที่กระทำบาปเมื่อเห็นการกระทำของตนจะกลัวจนรนรานไปหมด พวกเขาหวังให้มีระยะห่างอันไกลเหลือ ระหว่างเขากับบาปกรรม อันเป็นระยะห่างของเวลา ไม่ใช่สถานที่ เนื่องจากว่าระยะห่างของสถานที่อาจปรากฏใกล้เขาเมื่อใดก็ได้ แต่ระยะห่างของเวลามิอาจเป็นเช่นนั้นได้

คำว่า ตะญิดุ มาจากรากศัพท์คำว่า วิจดาน หมายถึง การพบเจอ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าสิ้นสลาย หรือหายสาบสูญไป คำว่า ค็อยริ (ความดี) ซูอ์ (ความชั่ว) ถูกกล่าวในลักษณะที่เป็นคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง จึงให้ความหมายรวม หมายถึง ในวันสอบสวนมนุษย์จะได้พบการกระทำของตนทั้งหมด ทั้งดีและไม่ดีไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม โองการกล่าวอย่างชัดเจนว่า ในวันสอบสวนมนุษย์จะได้พบการกระทำของตน ซึ่งผู้ที่กระทำความชั่วทั้งหลายต่างหวังให้มีระยะห่างไกลเหลือ ระหว่างตนกับความชั่ว ซึ่งตรงนี้สิ่งที่โองการกล่าวถึงคือ ตัวตนของการกระทำ มิใช่บัญชีที่จดบันทึกการกระทำ หรือการลงโทษหรือการตอบแทนผลรางวัล

โองการกล่าวว่า ผู้กระทำความชั่วชอบที่จะให้มีช่องว่างห่างไกล ระหว่างตนกับความชั่ว พวกเขาไม่เคยหวังให้การกระทำของตนถูกลบล้าง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการลบล้างการกระทำเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจึงไม่หวังเช่นนั้น มีโองการอีกมากมายที่กล่าวสนับสนุนความหมายดังกล่าว เช่น โองการที่ 49 บท อัล กะฮฺฟิ กล่าวว่า และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติ ปรากฏอยู่ตรงหน้า พระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใด อัล-กุรอาน โองการที่ 7-8 บท ซัลซะละฮฺ กล่าวว่า ดังนั้น ผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะเห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะเห็นมัน

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวแก่ผู้ขอคำแนะนำจากท่านว่า โอ้ เกซ เจ้ามีเพื่อนร่วมทาง ซึ่งหลังจากเสียชีวิตแล้ว เขาจะถูกฝังไปพร้อมกับเจ้า ทั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ และเจ้าจะถูกฝังไปพร้อมกับเขา ทั้งที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเขาดีและมีเกียรติ เจ้าก็จะมีเกียรติไปด้วย แต่ถ้าเมื่อใดเขาไม่ดี เจ้าก็ต้องยอมจำนนสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้น เขาจะไม่ปรึกษาหารือกับผู้ใดนอกจากเจ้า และเจ้าจะไม่ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับใครในวันสอบสวนนอกจากเขา และเจ้าจะไม่ถูกถามถึงผู้อื่นนอกจากเขา ฉะนั้น จงพยายามทำให้ดีที่สุด เนื่องจากถ้าสิ่งนั้นดี เจ้าจะได้คุ้นเคยและมีมิตรที่ดี ถ้าไม่เช่นนั้นจะไม่มีผู้ใดน่ากลัวเหมือนกับเขา และสิ่งที่ฉันพูดถึงคือ การกระทำของเจ้า

นักวิชาการมีความเชื่อต่างกันเกี่ยวกับเรื่อง การลงโทษ และรางวัลตอบแทน แต่ส่วนมากมีความเห็นพร้องต้องกันตามโองการอัล-กุรอานที่ว่า ทุกอย่างที่ปรากฏล้วนมาจากเรา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็นภาพลักษณ์หนึ่งของโลก ที่เรามองเห็น และอีกรูปภาพหนึ่งเป็นภาพลักษณ์ของโลกหน้า ที่แฝงอยู่ในก้นบึ้งของการกระทำ เมื่อวันสอบสวนมาถึงหลังจากการเปลี่ยนแปลงสงบลง ภาพลักษณ์ของโลกจะค่อย ๆ จางหายไป และแทนที่ด้วยภาพลักษณ์ของโลกหน้า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้ปฏิบัติสงบมั่นคง หรือเป็นสาเหตุกลั่นแกล้งเขา

ด้วยเหตุนี้ การกระทำของมนุษย์มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไปตามพลังงาน บนหลักการของการคงเหลืออยู่ สสารและพลังงานไม่มีวันสูญสลาย ยังคงเหลืออยู่บนโลกนี้ แม้ว่าตามหลักวิทยาศาสตร์จะกล่าวว่าสิ่งเหล่านั้นสูญสลายไปแล้วก็ตาม การคงเหลืออยู่ของการกระทำ

ปรัชญาของการคงเหลืออยู่ของการกระทำ เพื่อเป็นเหตุผลสำหรับวันฟื้นคืนชีพ เมื่อถึงเวลาสอบสวนการกระทำทุกคนจะได้เห็นการกระทำของตน ซึ่งเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ อีกด้านหนึ่งในวันฟื้นคืนชีพเขาจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกระทำของตน จะทุกข์หรือสุขสบายขึ้นอยู่กับการกระทำของตน

การปรากฏเป็นตัวตนของการกระทำกับวิชาการสมัยใหม่

เพื่อพิสูจน์การปรากฏตัวของการกระทำที่ผ่านมา สามารถใช้ประโยชน์จากหลักการฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิชาการสมัยใหม่ เนื่องจากตามหลักการของฟิสิกส์ สสารจะเปลี่ยนเป็นพลังงาน แม้ว่าทัศนะล่าสุดเกี่ยวกับสสาร และพลังงานจะกล่าวว่า สสารและพลังงานเป็นแหล่งกำเนิด 2 ประการ บนแก่นแท้อันเดียวกัน สสารได้รับแรงบีบคั้นบนเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจง จะเปลี่ยนเป็นพลังงาน ซึ่งบางครั้งพลังงานที่ซ่อนอยู่ในสสารเพียง 1 กรัม อาจมีแรงระเบิดได้ถึง 30,000 ตันไดนาไมต์

สรุปได้ว่า สสารและพลังงานคือภาพลักษณ์ของความจริงประการหนึ่ง ดังกล่าวไปแล้วว่าทั้งสสารและพลังงานเป็นสิ่งไม่สูญสลาย แต่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อพลังงานที่ส่งออกไปแล้วจะกลับมารวมตัวอีกครั้งในสภาพของตัวตน ฉะนั้น พลังงานที่ใช้ไปบนหนทางที่ถูกต้อง หรือบนการกดขี่ข่มเหงจะกลับไปสู่สภาพที่เฉพาะเจาะจง ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ถ้าเป็นคุณงามความดี ก็จะกลายเป็นรูปร่างแห่งความโปรดปราน ที่มีความสง่างาม แต่ถ้าเป็นการกระทำที่ไม่ดีก็จะกลายเป็นรูปร่างที่น่าเกลียด และเป็นสื่อที่คอยลงโทษเขา