โองการที่ 26,27 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
قُلِ اللَّهُمَّ مَلِك الْمُلْكِ تُؤْتى الْمُلْك مَن تَشاءُ وَ تَنزِعُ الْمُلْك مِمَّن تَشاءُ وَ تُعِزُّ مَن تَشاءُ وَ تُذِلُّ مَن تَشاءُ بِيَدِك الْخَيرُ إِنَّك عَلى كلِّ شىْءٍ قَدِيرٌ (26)تُولِجُ الَّيْلَ فى النَّهَارِ وَ تُولِجُ النَّهَارَ فى الَّيْلِ وَ تُخْرِجُ الْحَىَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَ تُخْرِجُ الْمَيِّت مِنَ الْحَىِّ وَ تَرْزُقُ مَن تَشاءُ بِغَيرِ حِسابٍ (27)
ความหมาย
26. จงกล่าวเถิด โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจปกครอง พระองค์ทรงประทานอำนาจปกครองแก่ผู้พระองค์ทรงประสงค์ และทรงถอดถอนอำนาจอำนาจปกครอง จากผู้พระองค์ทรงประสงค์ ทรงให้เกียรติแก่ผู้พระองค์ทรงประสงค์ ทรงให้อัปยศแก่ผู้พระองค์ทรงประสงค์ ความดีทั้งมวลอยู่ ณ พระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริงพระองค์ เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
27. พระองค์ทรงให้กลางคืนล้ำเข้าในกลางวัน และทรงให้กลางวันล้ำเข้าในกลางคืน และทรงให้สิ่งมีชีวิต ออกจากสิ่งที่ตาย และทรงให้สิ่งตายออกจากสิ่งมีชีวิต ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่ผู้พระองค์ทรงประสงค์ โดยมิต้องคำนวณนับ
สาเหตุของการประทานโองการ
เมื่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) พิชิตมักกะฮฺได้แล้ว เท่ากับได้ให้ชีวิตใหม่แก่มุสลิม และแน่นอนว่าในไม่ช้าอิหร่าน และโรมก็ต้องเป็นมุสลิมตามไปด้วย บรรดาผู้กลับกลอกที่รัศมีของความศรัทธายังมิได้ฉายส่องเข้าไปในจิตใจ ยังไม่เข้าใจอิสลามเขาแสดงท่าที่เย้ยหยัน และกล่าวอย่างประหลาดใจว่า มุฮัมมัดควบคุมมะดีนะฮฺ และมักกะฮฺยังไม่ได้ แต่ใฝ่ฝันที่จะครอบครองโรมและอิหร่าน เวลานั้นโองการถูกประทานลงมา
คำอธิบาย ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
โองการก่อนหน้านี้กล่าวถึงความพิเศษที่ยะฮูดีย์และคริสเตียน กล่าวอ้างว่าเป็นของพวกตน และกล่าวอีกว่าพวกตนเป็นชนชาติพิเศษเฉพาะพระเจ้า นอกจากนั้นยังถือว่าอำนาจปกครองเป็นของพวกตน พระเจ้าทรงปฏิเสธคำกล่าวอ้างของพวกเขา และตรัสว่าโมฆะ จุดประสงค์ของ พระประสงค์ของพระเจ้าในโองการข้างต้น มิได้หมายความว่าเป็นความประสงค์ที่ปราศจากการคำนวณนับ หรือปราศจากเหตุผล โดยที่พระองค์จะมอบ หรือถอดถอนจากผู้ใดก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ แต่ประสงค์ของพระองค์วางอยู่บนวิทยปัญญา กฎแห่งการสร้างสรรค์ ความเหมาะสม และปรัชญาของการสร้าง บางครั้งอำนาจปกครองอยู่ในมือของคนดี และบางครั้งอยู่ในมือของทรราชผู้กดขี่ อันสืบเนื่องมาจากความไม่ดีของประชาชาติ
อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาพิเศษคือ คำว่า ค็อยริ เป็นกิริยาที่บ่งบอกถึงความประเสริฐ หมายถึง ดีกว่า หรือเปรียบเทียบของสิ่งหนึ่งให้ดีกว่าอีกสิ่ง แต่มีหลายกรณีที่คำ ๆ นี้มีความหมายว่าดี ดังเช่นโองการที่กำลังกล่าวถึง หมายความว่า แหล่งกำเนิดความดีงามทั้งหลายมาจากพระองค์ และอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ประโยคที่กล่าวว่า ความดีทั้งมวลอยู่ ณ พระหัตถ์ของพระองค์ บ่งบอกว่าความดีงามทั้งมวล ความจำเริญ และการงานที่ดีอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และสามารถเข้าใจได้อีกว่า แท้จริงเกียรติยศ ความอัปยศ การให้อำนาจปกครอง และการถอดถอนนั้นเป็นความดีทั้งสิ้น แต่ละส่วนอยู่ในที่ของมันเป็นสิ่งดีงาม บนกฎแห่งความยุติธรรม ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่บนโลกนี้ ผู้ที่ก่ออาชญากรรม และประพฤติความชั่ว สถานที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาคือคุกและตาราง ส่วนผู้ที่ประพฤติดี มีศรัทธาสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเขาคือ ความอิสระ เสรีภาพ
ประโยคที่กล่าวว่า แท้จริงพระองค์ เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งในความเป็นจริงเป็นเหตุผลสำหรับทุกสิ่งที่กล่าวในโองการข้างต้น เนื่องจากพระองค์ทรงอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง อำนาจปกครอง เกียรติยศ และความดีทั้งมวลอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
โองการกำลังกล่าวเตือนสติประชาชาติทุกหมู่เหล่าให้ตื่นจากภวังค์ และจงเลือกใช้สิ่งที่มีประโยชน์ ก่อนที่กลุ่มคนชั่วจะหยิบฉวยสิ่งนั้นไป จงยึดอำนาจปกครองมาจากคนชั่ว และปกป้องสิ่งนั้นไว้ให้มั่นคง ฉะนั้น สรุปได้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้าก็คือ การที่พระองค์สร้างโลกมาด้วยเหตุผล เพื่อว่ามนุษย์จะใช้ประโยชน์จากเหตุผลนั้นอย่างไร
โองการถัดมากล่าวเสริมความหมาย และแสดงให้เห็นการบริหารโลกของพระเจ้า โดยกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงกลางวันและกลางคืนที่ละน้อย การทำให้กลางคืนสั้นในช่วงครึ่งปี โดยให้กลางคืนล้ำเข้าไปในกลางวัน และทรงทำให้กลางคืนในช่วงครึ่งปีที่เหลือยาว โดยให้กลางวันล้ำเข้าไปในเวลากลางคืน นอกจากนั้นทรงทำให้สิ่งมีชีวิตออกจากสิ่งที่ตาย และทำให้สิ่งที่ตายออกจากสิ่งมีชีวิต ทรงประทานเครื่องยังชีพมากมายแก่ชนบางกลุ่ม ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
ประเด็นสำคัญ
1. วะเลาญ์ ในเชิงภาษาหมายถึง การเข้า โองการกล่าวว่า พระเจ้าทรงให้กลางคืนล้ำเข้าไปในกลางวัน และให้กลางวันล้ำเข้าไปในกลางคืน (ซึ่งมีอีก 8 กรณี ในอัล-กุรอานที่กล่าวถึงความหมายดังกล่าว)
ประโยคดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นความยาวและสั้นของกลางวันและกลางคืน ซึ่งบางครั้งบางฤดูกาลกลางคืนจะสั้นส่วนกลางวันจะยาว และบางฤดูกาลจะกลับกันกลางวันจะสั้นส่วนกลางคืนจะยาว แต่อย่างไรก็ตามจำนวนวันในรอบปีจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนจำนวนชั่วโมงในหนึ่งวัน ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงให้ขั้วโลกหักเห เพื่อให้กลางวันและกลางคืนในฤดูกาลต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน ซึ่งสิ่งนี้มีความจำเป็นต่อสภาพชีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ ถ้ากลางวัน และกลางคืน หรือฤดูกาลไม่มีความแตกต่างกัน หมายถึงมีแต่ฤดูร้อนหรือฤดูหนาวเพียงอย่างเดียว ระบบต่าง ๆ จะสูญเสียไปหมด พืชสวนไร่นาตลอดจนสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะประสบปัญหา
2. ประโยคที่กล่าวว่า ทรงให้สิ่งมีชีวิต ออกจากสิ่งที่ตาย และทรงให้สิ่งตายออกจากสิ่งมีชีวิต คุณลักษณะสองประการบ่งชี้ให้เห็นระบบที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งปรากฏในธรรมชาติ ดังที่จะเห็นว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ ที่งอกเงยจากพื้นดินเป็นสิ่งที่ตายไร้ชีวิต แต่กลับมีชีวิตขึ้น และเมื่อสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น สัตว์และมนุษย์กินพืชนั้นไป ทำให้ชีวิตดำรงสืบต่อไปได้ จากพืชที่กินเข้าไปเป็นสารอาหาร เปลี่ยนเป็นอสุจิซึ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อได้รับการผสมพันธุ์เกิดเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา อีกด้านหนึ่งสิ่งมีชีวิตเมื่อตายร่างกายเน่าเปื่อยผุสลายกลายเป็นดินที่ไร้ชีวิต สิ่งนี้กลายเป็นวัฎจักรที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องที่ปรากฏในธรรมชาติ เป็นการเปลี่ยนจากสิ่งไร้ชีวิตให้มีชีวิต และจากสิ่งมีชีวิตให้ตาย สามารถให้ความหมายโองการกว้างไปกว่านั้นกล่าวคือ พระเจ้าทรงให้ชีวิตผู้ศรัทธากำเนิดจากไขสันหลังของผู้ปฏิเสธ และให้ชีวิตผู้ปฏิเสธกำเนิดจากไขสันหลังของผู้ศรัทธา โดยหลักการถือว่าการปฏิเสธคือสิ่งที่ตาย ส่วนความศรัทธาคือสิ่งมีชีวิต ฉะนั้น จึงถือว่าชีวิตได้กำเนิดจากความตาย และความตายกำเนิดจากชีวิต
รายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บันทึกในตัฟซีรอัดดุรุลมันซูร โดยท่านซัลมาล กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อธิบายโองการที่กล่าวว่า ทรงให้สิ่งมีชีวิต ออกจากสิ่งที่ตาย ว่าหมายถึง ผู้ศรัทธาได้กำเนิดจาไขสันหลังของผู้ปฏิเสธ และผู้ปฏิเสธได้กำเนิดจากไขสันหลังของผู้ศรัทธา
3. ประโยคที่กล่าวว่า ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่ผู้พระองค์ทรงประสงค์ การประทานเครื่องยังชีพแก่สรรพสิ่งมีชีวิต อยู่ในอำนาจของพระเจ้า สรรพสิ่งทั้งหลายต้องอิงอาศัยพระองค์ การประทานเครื่องยังชีพเหมือนกับการประทานเกียรติยศและความอัปยศ ฉะนั้น จะเห็นว่าบางคนได้รับเครื่องยังชีพมากมาย และบางคนได้รับเพียงน้อยนิด ทั้งหมดอยู่ในอำนาจของพระองค์ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของวิทยปัญญาและความเหมาะสม ประโยคที่กล่าวว่า โดยมิต้องคำนวณนับ บ่งชี้ให้เห็นทะเลแห่งความเมตตาของพระเจ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล ไม่ว่าพระองค์จะประทานให้มากน้อยเพียงใด ไม่มีสิ่งใดลดน้อยไปจากพระองค์ ความเมตตาของพระองค์เสมือนมหาสมุทรที่ไม่มีฝั่ง ทรงสมบูรณ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ไม่เกรงว่าจะมีสิ่งใดลดน้อย ไม่มีผู้ใดตรวจสอบพระองค์ และพระองค์ไม่มีการคำนวณนับ