@laravelPWA
โองการที่ 18 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 18 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 2:11:5 11-6-1404

โองการที่ 18 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน


شهِدَ اللَّهُ أَنَّهُ لا إِلَهَ إِلا هُوَ وَ الْمَلَئكَةُ وَ أُولُوا الْعِلْمِ قَائمَا بِالْقِسطِ لا إِلَهَ إِلا هُوَ الْعَزِيزُ الْحَكيمُ (18)

ความหมาย

18. อัลลอฮ ทรงยืนยันว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ มลาอิกะฮฺ และปวงผู้มีความรู้ (ทั้งหมดยืนยันประเด็นดังกล่าว) ขณะที่ (พระเจ้าทรง) ธำรงความยุติธรรม ยืนยันว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ

คำอธิบาย ทั้งหมดต่างยืนยันความเป็นเอกภาพของพระเจ้า

โองการข้างต้นกล่าวถึงเหตุผลที่ยืนยันความเป็นเอกภาพของพระเจ้าไว้อย่างชัดเจน กล่าวว่า อัลลอฮ ทรงยืนยันว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ด้วยเหตุนี้ สูเจ้าจำเป็นต้องร่วมยืนยันพร้อมกับพระเจ้า มวลมลาอิกะฮฺ และปวงผู้มีความรู้

พระเจ้าทรงยืนยันความเป็นเอกะของพระองค์ได้อย่างไร

จุดประสงค์การยืนยันของพระเจ้าคือ การยืนยันที่เป็นรูปธรรม มิใช่คำพูด กล่าวคือพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างโลกและจักรวาล พระองค์คือผู้บริหารแต่เพียงผู้เดียว กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เหมือนกันทั้งสิ้น และมีโครงสร้างเป็นหนึ่งเดียว อีกนัยหนึ่งคือ ความเป็นหนึ่งเดียวมีความสัมพันธ์ และอยู่ในระบบเดียวกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการสร้างและพระผู้ทรงคู่ควรแก่การเคารพภักดี ซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว และทั้งหมดมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ การสร้างระบบที่เป็นหนึ่งเดียวกัน คือคำยืนยันของพระเจ้าบนความเป็นเอกเทศของอาตมันของพระองค์

คำยืนยันของมวลมลาอิกะฮฺและปวงผู้มีความรู้ เป็นคำพูดทั้งสองกลุ่มต่างสารภาพถึงแก่นแท้ความจริงดังกล่าว ซึ่งกล่าวไว้หลายครั้งในอัล-กุรอาน เช่น โองการหนึ่งกล่าวว่า พระผู้อภิบาลและมวลมลาอิกะฮฺกล่าวสดุดีท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ซึ่งแตกต่างกัน กล่าวคือ การสดุดีของพระเจ้าหมายถึงการประทานความเมตตา ส่วนการรสดุดีของมลาอิกะฮฺคือ การวอนขอความเมตตา

อย่างไรก็ตามการยืนยันของมลาอิกะฮฺ และปวงผู้มีความรู้ถือเป็นรูปธรรมเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียว โดยมิเคยสรรเสริญหรือนอบน้อมต่อสิ่งสักการะอื่นใดนอกจากพระองค์

การธำรงความยุติธรรมหมายถึงอะไร

ประโยคที่กล่าวว่า ธำรงความยุติธรรม ถ้าพิจารณาด้านภาษา ประโยคดังกล่าวเป็น ฮาล ให้กับประธานของกริยาที่ว่า ชะฮิดะ หมายถึงเป็นสภาพที่อธิบายสภาพของประธานที่กำลังยืนยัน กล่าวคือ พระเจ้าทรงยืนยันถึงความเป็นเอกะของพระองค์ ขณะที่พระองค์ธำรงความยุติธรรมเหนือโลกและจักรวาล ประโยคดังกล่าวเป็นเหตุผลของการยืนยันของพระองค์ เนื่องจากแก่นแท้ของความยุติธรรมคือ การเลือกแนวทางระหว่างกลาง หรือแนวทางที่เที่ยงตรง โดยหลีกเลี่ยงแนวทางที่สุดโต่ง และแนวทางที่หลงผิดทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าแนวทางที่เที่ยงตรงมิได้มีมากเกินกว่าหนึ่ง ดังที่กล่าวในบทอันอาม โองการที่ 153 ว่า แท้จริงนี่เป็นทางของข้าอันเที่ยงตรง ดังนั้นจงปฏิบัติตามมัน และจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางหลากหลาย เพราะมันจะแยกสูเจ้าออกจากทางของพระองค์ โองการดังกล่าวแนะนำแนวทางของพระเจ้าว่ามีอยู่ทางเดียว ส่วนแนวทางที่หลงผิดไปจากแนวทางของพระองค์มีอยู่ดาษดื่น เนื่องจากแนวทางที่เที่ยงธรรมกล่าวโดยใช้คำที่เป็นเอกพจน์ ส่วนแนวทางที่หลงผิดใช้คำที่เป็นพหูพจน์ สรุปว่า ความยุติธรรมจะต้องอยู่คู่กับระบบที่เป็นหนึ่งเดียวตลอดไป ซึ่งระบบที่เป็นหนึ่งเดียวคือสัญลักษณ์ของพระผู้สร้างผู้ทรงเอกะ ด้วยเหตุนี้ ความยุติธรรมในความหมายที่แท้จริงของโลกแห่งการสร้างสรรค์ เป็นเหตุผลที่ยืนยันความเป็นหนึ่งเดียวในการสร้าง

ใครคือปวงผู้รู้

โองการกล่าวถึงปวงรู้เคียงข้างกับมลาอิกะฮฺ บ่งบอกความเป็นพิเศษของปวงผู้รู้ที่มีเหนือคนอื่น ซึ่งความพิเศษของพวกเขาอยู่ในขอบข่ายของความรู้ที่ล่วงรู้ถึงแก่นแท้ความจริง และความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้อภิบาล

โองการกล่าวประโยคที่ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ซ้ำสองครั้งมีความหมายว่า พระองค์และมลาอิกะฮฺ และปวงผู้มีความรู้ยืนยันความเป็นเอกะของพระองค์ตั้งแต่เริ่มต้นโองการ ดังนั้น บุคคลได้ยินคำยืนยันดังกล่าวเขาต้องยืนยันไปพร้อมด้วย ขณะเดียวกันประโยคดังกล่าวยังเป็นการสรรเสริญในความยิ่งใหญ่ และความเป็นเอกะของพระองค์ ซึ่งจบลงด้วยการเทิดทูนสองคุณลักษณะสำคัญของพระองค์ที่ว่า พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ เนื่องจากการธำรงความยุติธรรม จำเป็นต้องอาศัยอำนาจและวิทยปัญญา ฉะนั้น เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ทรงอำนาจ และทรงรอบรู้เหนือทุกสรรพสิ่ง จึงสามารถธำรงความยุติธรรมแก่โลกได้