@laravelPWA
โองการที่ 13 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 13 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 4:19:51 11-6-1404

โองการที่ 13 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน


قَدْ كانَ لَكُمْ ءَايَةٌ فى فِئَتَينِ الْتَقَتَا فِئَةٌ تُقَتِلُ فى سبِيلِ اللَّهِ وَ أُخْرَى كافِرَةٌ يَرَوْنَهُم مِّثْلَيْهِمْ رَأْى الْعَينِ وَ اللَّهُ يُؤَيِّدُ بِنَصرِهِ مَن يَشاءُ إِنَّ فى ذَلِك لَعِبرَةً لاُولى الاَبْصرِ (13)

ความหมาย

13. แน่นอน ได้มีสัญญาณ (บทเรียน) ปรากฏแก่สูเจ้าแล้ว สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน (ในสงครามบัดร์) ฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธ (ต่อสู้บนหนทางของซาตานและเทวรูป) ขณะที่พวกเขา (ฝ่ายผู้ศรัทธา) เห็นด้วยตาตนเองว่า เป็นสองเท่าของพวกเขา (ซึ่งสิ่งนี้เป็นปัจจัยสร้างความหวาดกลัว และความพ่ายแพ้แก่พวกเขา) และอัลลอฮฺ ทรงสนับสนุนผู้ (มีความเหมาะสม) พระองค์ทรงประสงค์ ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ แท้จริง ในนั้น มีข้อเตือนสติ (บทเรียน) แก่ผู้มองเห็น

สาเหตุของการประทานโองการ

โองการข้างต้นกล่าวถึงเหตุการณ์ของสงครามบัดร์ว่า สงครามดังกล่าวมีมุสลิมเพียง 313 คน ซึ่งแบ่งออกเป็นพวกอพยพ (มุฮาญิรีน) 77 คน ส่วนที่เหลื่อ 236 คนเป็นชาวอันซอร ธงของพวกมุฮาญิรีนอยู่ในมือของท่านอะลี (อ.) ส่วน สะอ์ดิบอิบาดะฮฺ เป็นผู้ถือธงของชาวอันซอร พวกเขามีอูฐเพียง 70 ตัว ม้า 2 ตัว เสื้อเกราะ 6 ตัว และมีดาบเพียง 8 เล่ม ขณะที่ทหารฝ่ายศัตรูมีจำนวนมากกว่า 1000 คน พร้อมอาวุธครบมือ แต่ทหารฝ่ายมุสลิมเป็นดกับได้รับใช้ชนะในที่สุด และกลับสู่มะดีนะฮฺ ด้วยความภาคภูมิใจ

คำอธิบาย สงครามบัดร์คือตัวอย่างที่ชัดเจน

ตามความเป็นจริงโองการข้างต้นอธิบายสิ่งที่โองการก่อนหน้านี้กล่าวไว้ พร้อมทั้งเตือนสติบรรดาผู้ปฏิเสธว่า จงอย่าแสดงความยโสในฐานะที่มีทรัพย์และจำนวนคนมากกว่า แม้ว่าจะได้เปรียบแต่ไม่ได้หมายความว่า จะได้รับชัยชนะเสมอไป ซึ่งสิ่งนี้เป็นอุทาหรณ์ที่มีค่ายิ่งจากสงคราม บัดร์ เนื่องจากฝ่ายศัตรูมีความพร้อมทั้งด้านกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่พวกเขากลับได้รับความปราชัย อัล-กุรอานกล่าวว่า มีสัญญาณ (บทเรียน) ปรากฏแก่สูเจ้าแล้ว สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน (ในสงครามบัดร์) ฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธ (ต่อสู้บนหนทางของซาตานและเทวรูป)

ทำไมจึงถือว่าเป็นอุทาหรณ์ที่มีค่ายิ่ง เนื่องจากฝ่ายหนึ่งมีความพร้อมด้านการสงคราม ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความพร้อมทั้งด้านกองกำลังและอาวุธ แต่ว่ามีความศรัทธาแรงกล้า ซึ่งในที่สุดแล้วฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างสิ้นเชิง อัล-กุรอานกล่าวว่า ขณะที่พวกเขา (ฝ่ายผู้ศรัทธา) เห็นด้วยตาตนเองว่า เป็นสองเท่าของพวกเขา (ซึ่งสิ่งนี้เป็นปัจจัยสร้างความหวาดกลัว และความพ่ายแพ้แก่พวกเขา)

อันดับแรกก่อนสงคราม พระเจ้าทรงประสงค์ให้ฝ่ายศัตรูมอง จำนวนทหารฝ่ายมุสลิมว่า มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อพวกเขาจะได้โจมตีด้วยความประมาท ดังที่โองการที่ 44 บทอัลฟาล กล่าวถึง หลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้น พระองค์ให้ฝ่ายมุสลิมเห็นกำลังทหารผ่ายศัตรูที่เพิ่มเป็นสองเท่า และสามารถควบคลุมฝ่ายมุสลิมได้อย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมที่จะตีทัพฝ่ายมุสลิมให้แตกกระเจิงได้ตลอดเวลา แต่พระเจ้าทรงเพิ่มพลังศรัทธาแก่หัวใจของมุสลิม ทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะอย่างสิ้นเชิง หมายถึง พระองค์ตรัสกับฝ่ายมุสลิมว่า สูเจ้าไม่ต้องหวาดกลัว แต่จงเข้าสู่สงครามด้วยความกล้าหาญชาญชัย ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามจะเข้าสู่สนามรบด้วยความประมาท และพระองค์ทำให้พวกเขาเห็นทหารฝ่ายมุสลิมมีจำนวนมากเป็นสองเท่า จนทำให้พวกเขาหวาดกลัวและพ่ายแพ้ในที่สุด

รายงานบางบทกล่าวว่า มีมุสลิมคนหนึ่งก่อนเริ่มสงคราม กล่าวแก่มุสลิมบางคนว่า ท่านคิดว่าทหารฝ่ายศัตรูมีถึง 70 คนหรือไม่ กล่าวว่า ฉันคิดว่าพวกเขามีประมาณ 100 กว่าคน แต่หลังจากได้รับชัยชนะแล้ว ทหารฝ่ายมุสลิมจับข้าศึกเป็นเชลยจำนวนมาก และมีแจ้งว่าจำนวนทหารฝ่ายศัตรูมีมากกว่า 1000 คน

ประเด็นดังกล่าว ดั่งที่กล่าวไปแล้วหลายครั้งว่า ความประสงค์ของพระเจ้ามิได้ปราศจากการคำนวณนับ ทว่าได้ผสมผสานกับวิทยปัญญาของพระองค์ ถ้าปวงบ่าวไม่มีความเหมาะสม พระองค์ไม่เสริมกำลังที่แข็งแกร่งแก่เขาเด็ดขาด