โองการที่ 7 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
هُوَ الَّذِى أَنزَلَ عَلَيْك الْكِتَب مِنْهُ ءَايَتٌ محْكَمَتٌ هُنَّ أُمُّ الْكِتَبِ وَ أُخَرُ مُتَشبِهَتٌ فَأَمَّا الَّذِينَ فى قُلُوبِهِمْ زَيْغٌ فَيَتَّبِعُونَ مَا تَشبَهَ مِنْهُ ابْتِغَاءَ الْفِتْنَةِ وَ ابْتِغَاءَ تَأْوِيلِهِ وَ مَا يَعْلَمُ تَأْوِيلَهُ إِلا اللَّهُ وَ الرَّسِخُونَ فى الْعِلْمِ يَقُولُونَ ءَامَنَّا بِهِ كلُّ مِّنْ عِندِ رَبِّنَا وَ مَا يَذَّكَّرُ إِلا أُولُوا الأَلْبَبِ (7)
ความหมาย
7. พระองค์คือ ผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์มีโองการต่าง ๆ ที่ชัดเจน (ไม่กำกวม) ซึ่งโองการเหล่านี้ เป็นรากฐานของคัมภีร์ (แม้ว่าโองการอื่นจะกำกวม แต่เมื่อย้อนมาดูโองการเหล่านี้ความกำกวมจะหมดไป) และโองการบางส่วนมีข้อความเป็นนัย (หมายถึงมีความหมายคลุมเครือตีความได้หลายอย่าง แต่เมือย้อนไปดูโองการที่มีความหมายชัดเจน ความคลุมเครือจะหมดไป) ฉะนั้น บรรดาที่ในหัวใจของเขาเรรวน พวกเขาปฏิบัติตามโองการที่เป็นนัย เพื่อก่อการปั่นป่วน (ทำให้ผู้อื่นหลงผิด) และอธิบายโองการ (อย่างไม่ถูกต้อง) ขณะที่ไม่มีผู้ใดรู้การอธิบายโองการเหล่านั้น นอกจากอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้ พวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาต่อสิ่งนั้น ทั้งหมด มาจากพระผู้อภิบาลของเรา และไม่มีผู้ใดใคร่ครวญ เว้นแต่ผู้มีวิจารณญาณ
สาเหตุของการประทานโองการ
อิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า มียะฮูดีย์หลายคน ซึ่งในนั้นคือ ฮัย บุตรของอัคฏ็อบ และพี่น้องของเขา เดินทางมาพบท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) พร้อมกับนำหลักฐานเกี่ยวกับอักษรย่อในอัล-กุรอาน (อลีฟ ลาม มีม) มาเสนอท่านศาสดา พวกเขากล่าวว่า ตามหลักคำนวณของพวกเรา อลีฟ = 1 ,ลาม=30 , มีม = 40 ดังนั้น จากการคำนวณบ่งบอกว่าประชาชาติของท่านจะคงอยู่ได้ไม่เกิน 71 ปี ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องการยับยั้งความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของพวกเขา จึงกล่าวกับพวกเขาว่า ทำไมพวกท่านจึงคำนวณเฉพาะ อลีฟลามมีม เท่านั้น อักษรย่อในอัล-กุรอานมีอีกมายมาย เช่น อลีฟ ลาม มีม ซ็อด หรือ อลีฟ ลาม รอ เป็นต้น ถ้าอักษรเหล่านี้บ่งบอกถึงการคงอยู่ของประชาชาติของฉันละก็ ทำไมไม่คำนวณอักษรอื่นด้วย ขณะที่จุดประสงค์ของอักษรย่อคือสิ่งอื่น หลังจากนั้นพระเจ้าทรงประทานโองการลงมา
คำอธิบาย โองการที่ชัดแจ้งและคลุมเครือในอัล-กุรอาน
หนึ่งในความพิเศษของอัล-กุรอานโองการนี้คือ อธิบายถึง วิธีการอธิบายเรื่องราวและสาระของอัล-กุรอาน
1. คำว่า มุฮ์กัม ตามรากศัพท์มาจากคำว่า อะฮฺกาม หมายถึง การห้าม หรือการกำหนดข้อห้าม ด้วยเหตุนี้ จึงเรียกสิ่งที่มีการยืนหยัดมั่นคงว่า มุฮ์กัม เนื่องจากไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้หันเห หรือหลงทางออกไปได้ หรือคำพูดที่มั่นคงแข็ง ซึ่งไม่มีคำพูดใดมาลบล้างได้เรียกว่า มุฮ์กัม เช่นกัน
ดังนั้น จุดประสงค์ของ โองการที่เป็นมุฮ์กัม หมายถึง โองการที่มีความหมายชัดเจน ไม่มีช่องว่างให้วิจารณ์ หรือข้อพิพาทแต่อย่างใด หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึง โองการที่มีความหมายเป็นที่เข้าใจไม่ต้องการคำอธิบายและการตีความใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อได้ยินโองการเหล่านั้นสามารถเข้าใจได้ทันที เช่น โองการกล่าวว่า พระเจ้าทรงอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง โองการเหล่านี้จัดว่าเป็นเป็นรากฐานของคัมภีร์ ซึ่งสามารถช่วยอธิบายโองการที่มีความหมายคลุมเครืออื่นได้ โองการที่เป็น มุฮ์กัม ในอัล-กุรอานเรียกอีกอย่างว่า อุมมุลกิตาบ หมายถึง รากฐานหลัก แหล่งย้อนกลับ คำอธิบายของโองการอื่นที่คลุมเครือ
2. โองการที่เป็น มุตะชาบิฮ์ หมายถึง โองการที่มีความหมายคลุมเครือ ไม่ชัดเจน มีความสงสัย และตีความได้หลายด้าน เช่น อัลลอฮฺ ทรงอยู่เหนือบัลลังก์ เมื่อพิจารณาจะเห็นว่า พระเจ้าไม่มีรูปร่าง แต่โองการกล่าวว่า พระองค์ทรงอยู่บนบัลลังก์ กับอีกโองการหนึ่งกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดคล้ายเหมือนพระองค์ ทำให้เข้าใจทันทีว่าจุดประสงค์ของโองการแรก มิได้หมายถึง การนั่งอยู่บนเตียงเหมือนการนั่งทั่ว ๆ ไป แต่หมายถึง อำนาจของพระองค์ครอบคลุมอยู่เหนือโลกและจักรวาล
คำว่า มุตะชาบิฮ์ หมายถึง สิ่งหนึ่งที่ส่วนต่าง ๆ ของมันคล้ายเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ จึงเรียกประโยค หรือคำต่าง ๆ ซึ่งมีความหมายคลุมเครือ ยุ่งยากต่อความเข้าใจ บางครั้งตีความได้หลายแง่มุมว่า มุตะชาบิฮ์ ฉะนั้น โองการอัล-กุรอานที่เป็น มุตะชาบิฮ์ จึงหมายถึงโองการที่มีความหมายคลุมเครือ ตอนแรกอาจมีความหมายหลายอย่าง หรือมีความหมายเจาะจงแต่เบื้องต้นยากความเข้าใจ จำเป็นต้องใคร่ครวญพิเศษ หรือต้องย้อนไปหาโองการที่มีความหมายชัดเจน หรือต้องอาศัยโองการอื่นตีความจึงจะเข้าใจความหมาย โองการที่เป็นมุชาบิฮ์ ดูได้จากโองการที่กล่าวถึงคุณลักษณะของพระเจ้า หรือโองการที่กล่าวถึงเรื่องการฟื้นคืนชีพ เช่น พระหัตถ์ของอัลลอฮฺอยู่เหนือมือพวกเขา จุดประสงค์ของโองการคือ อำนาจของพระองค์ หรือโองการที่ว่า อัลลอฮฺทรงได้ยิน ทรงรอบรู้ บ่งชี้ถึงความรู้ของพระองค์ หรือโองการที่ว่า เราจะให้ความยุติธรรมให้วันฟื้นคืนชีพ หมายถึงสื่อในการตรวจสอบการกระทำ
แน่นอนว่า พระเจ้าไม่ทรงมีพระหัตถ์ (มือตามที่เห็นและเข้าใจ) ไม่มีหู ไม่มีตราชั่ง เหมือนกับที่มนุษย์มี และอื่น ๆ แต่สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ถึงอำนาจ และความรอบรู้ของพระองค์ ซึ่งเป็นสื่อในการตรวจสอบ
เพราะเหตุใดต้องมีโองการที่คลุมเครือ
การมีโองการคลุมเครือในอัล-กุรอาน ถือเป็นหนึ่งในความจำเป็นของการดำรงอยู่นิรันดรของอิสลาม ดังที่ทราบแล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ดำรงอยู่ตราบจนถึงวันอวสานของโลก อีกด้านหนึ่งความคิดของมนุษย์มีการวิวัฒนาการตลอดเวลาและมีความแตกต่างกันในทุกยุคทุกสมัย โองการที่มีความหมายคลุมเครือเหมาะสมกับนักวิชาการที่มีความคิดใหม่ ๆ เมื่อเขาใช้ประโยชน์จากโองการเหล่านี้ สิ่งนี้จะเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาเสมอ อัล-กุรอานอนุญาตให้ทุกคนใช้ประโยชน์จากอัล-กุรอาน พร้อมกับนำเสนอวิธีการใช้ที่ถูกต้อง เพื่อว่าผู้ที่ใช้จะได้ไม่หลงทาง ดังนั้น ถ้ามีความสงสัย ให้เขาย้อนกลับไปยังโองการที่มีความหมายชัดเจนซึ่งถือว่าเป็นรากฐานของอัล-กุรอาน
รายงานจาออะฮฺลุลบัยต์ (อ.) กล่าวว่า การมีโองการที่มีความหมายคลุมเครือในอัล-กุรอาน บ่งบอกว่ามนุษย์มีความต้องการผู้นำที่มาจากพระเจ้า เมื่อมนุษย์มีความต้องการในความรู้มากเท่าใด จำเป็นต้องเข้าหาผู้ที่มีความรู้ จำเป็นต้องรู้จักเหล่าบรรดาผู้นำ และใช้ประโยชน์จากความรู้ และคำแนะนำของเขา ดังที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ฉันฝากสิ่งหนักสองสิ่งที่มีค่ายิ่งไว้ในหมู่สูเจ้าได้แก่ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และครอบครัวของฉัน สิ่งทั้งสองจะไม่แยกจากกันจนกว่าทั้งสองจะย้อนคืนสู่ฉัน ณ บ่อน้ำเกาซัร ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ
การตะอ์วีลหมายถึงอะไร
มีการให้ความหมายคำนี้ไว้มากมาย แต่ความหมายที่ใกล้เคียงที่สุดคือ ตะอ์วีล หมายถึง การย้อนกลับของสิ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ทุกภารกิจ หรือทุกคำพูดถ้าไปถึงยังเป้าหมายสุดท้าย เรียกว่า ตะอฺวีล ดังนั้น ถ้าคนหนึ่งลงมือปฏิบัติภารกิจบางอย่าง แต่เป้าหมายในการปฏิบัติไม่ชัดเจน สุดท้ายของการปฏิบัติได้กำหนดชัดเจน อย่างนี้เรียกว่าตะอฺวีล เช่นกัน หรือเรื่องราวของศาสดามูซา (อ.) กับนักวิชาการทีเดินทางร่วมกัน ซึ่งเขาต้องการทำบางอย่างที่เป้าหมายไม่ชัดเจน เช่น การเจาะเรือ หรือการก่อกำแพงรอบเมือง ทำให้ศาสดาโกรธมาก ต่อมาเมื่อแยกทางกันเขาจึงบอกว่า เป้าหมายที่ฉันเจาะเรือ เนื่องจากต้องการช่วยให้รอดพ้นจาก น้ำมือของสุลต่านที่กดขี่ซึ่งกำลังจะเดินทางผ่านมา อัล-กุรอานกล่าวว่า และนี่คือเป้าหมายสุดท้ายของงาน ที่เจ้าไม่ได้อดทน โองการที่กำลังกล่าวถึง กล่าวว่า จุดประสงค์ของ ตะอฺวีลก็คือตามความหมายที่กล่าวมา หมายถึง บางโองการของ อัล-กุรอานมีรหัส และความหมายที่ลุ่มลึก เพียงแต่ว่าบางคนที่มีความคิดหลงผิด และมีเจตนาที่เลวร้าย พยายามอธิบาย หรือสร้างความหมายที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ จุดประสงค์ของประโยคที่ว่า เพื่อก่อการปั่นป่วน (ทำให้ผู้อื่นหลงผิด) และอธิบายโองการ (อย่างไม่ถูกต้อง) หมายถึงพวกเขาต้องการอธิบายโองการไปในทางที่ผิด ที่มิใช่วัตถุประสงค์ของโองการ
รอซิคูนะฟิลอิลมิ หมายถึงใคร
อัล-กุรอานกล่าวถึง รอซิคูนะฟิลอิลมิ สองครั้งด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ โองการที่กำลังกล่าวถึง ส่วนอีกโองการหนึ่งคือ โองการที่ 162 บทนิซาอฺ ที่กล่าวว่า แต่ทว่าบรรดาผู้มั่นในความรู้ในหมู่พวกเขา และบรรดาผู้ศรัทธา (จากประชาชาติอิสลาม) พวกเขาศรัทธาสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้า
ฉะนั้น ถ้าพิจารณาตามความหมายในเชิงภาษา จุดประสงค์ของ รอซิคูนะฟิลอิลมิจึงหมายถึง บุคลคลที่ความรู้ของเขามั่นคง เป็นเจ้าของเป็นเจ้าของทัศนะ แม้ว่าคำนี้จะมีความหมายกว้างก็ตาม แต่บ่งบอกว่าในหมู่พวกเขามีบุคคลพิเศษ มีความบรรเจิดกว่าบุคคลอื่นในทุกด้าน
ริวายะฮฺจำนวนมากมายกล่าวว่า ริซคูนะ ฟิล อิลม์ หมายถึงท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีความมั่นคงในความรู้มากกว่าผู้ใดทั้งหมด มีความรอบรู้เรื่องการตะอฺวีล และอธิบายความของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานลงมา