@laravelPWA
โองการที่ 1, 2, 3,4 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • ชื่อ: โองการที่ 1, 2, 3,4 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 4:19:52 11-6-1404

โองการที่ 1, 2, 3,4 ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน


บทอาลิอิมรอนถูกประทานที่มะดีนะฮฺ มีทั้งสิ้น 200 โองการ

ความประเสริฐในการอ่านบทนี้

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า บุคคลใดอ่านบทอาลิอิมรอน ในวันฟื้นคืนชีพเขาจะได้รับความปลอดภัยในการเดินข้ามสะพานนรก เท่ากับจำนวนโองการของบท[1]

มาตรฐานของบทอาลิอิมรอน

นักอรรถาธิบายอัล-กุรอานส่วนใหญ่กล่าวว่า อัล-กุรอานบทนี้ ประทานลงมาช่วงปลายสงครามบัรด์ และสงครมอุฮุด ประมาณปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นสมัยที่วิถีชีวิตของมุสลิมเริ่มเปลี่ยนแปลง ประเด็นหลักที่อัล-กุรอานบทนี้กล่าวถึงคือ

1. ความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า คุณลักษณะของพระองค์ วันแห่งการฟื้นคืนชีพ และวิชาการอิสลาม

2. สงครามศาสนา และคำสั่งสำคัญเกี่ยวกับสงคราม ชีวิตอมตะของบรรดาผู้พลีชีพในหนทางพระเจ้า และบทเรียนสำคัญจากสงครามอุฮุดและสงครามบัรด์

3. บางตอนของอัล-กุรอานบทนี้ กล่าวถึงบทบัญญัติอิสลามเกี่ยวกับการสร้างเอกภาพในหมู่มุสลิม วิหารกะฮฺบะฮฺ บทบัญญัติการบำเพ็ญหัจญ์ การเชิญชวนไปสู่ความดี การห้ามปรามความชั่ว ความรักในมิตร และเกลียดชังศัตรูของพระเจ้า สิ่งของที่เป็นอะมานะฮฺ การบริจาคในหนทางพระเจ้า ละเว้นการโกหก การอดทนอดกลั้น การยืนหยัดต่อศัตรู การอดกลั้นต่ออุปสรรคปัญหา การทดสอบต่าง ๆ ของพระเจ้า และการรำลึกถึงพระเจ้าในความหมายต่าง ๆ

4. เพื่อความสมบูรณ์ของประเด็นปัญหาที่กล่าวถึง อัล-กุรอานนำเสนอประวัติศาสตร์ของศาสดาบางท่าน เช่น ศาสดาอาดัม (อ.) นูฮฺ อิบรอฮีม มูซา อีซา และศาสดาท่านอื่น ตลอดจนประวัติศาสตร์ของท่านหญิงมัรยัมและฐานันดรอันสูงศักดิ์ของนาง

เนื้อหาสาระของอัล-กุรอานบทนี้มีความสัมพันธ์กัน ประหนึ่งว่าถูกประทานลงมาในคราวเดียวกัน

بِسمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ

الم (1) اللَّهُ لا إِلَهَ إِلا هُوَ الْحَىُّ الْقَيُّومُ (2) نَزَّلَ عَلَيْك الْكِتَب بِالْحَقِّ مُصدِّقاً لِّمَا بَينَ يَدَيْهِ وَ أَنزَلَ التَّوْرَاةَ وَ الانجِيلَ (3) مِن قَبْلُ هُدًى لِّلنَّاسِ وَ أَنزَلَ الْفُرْقَانَ إِنَّ الَّذِينَ كَفَرُوا بِئَايَتِ اللَّهِ لَهُمْ عَذَابٌ شدِيدٌ وَ اللَّهُ عَزِيزٌ ذُو انتِقَام (4)

ความหมาย

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปราณีเสมอ

1. อะลิฟ ลาม มีม

2. อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ผู้ทรงชีวิตอยู่เสมอ ผู้ทรงดำรงอยู่นิจกาล (โดยพระองค์เอง)

3. พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้าโดยสัจธรรม เป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่มาก่อนหน้า และได้ทรงประทานอัตเตารอต และอัล-อินญีลลงมา

4. ก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นทางนำสำหรับมนุษย์ และได้ทรงประทานคัมภีร์จำแนกความจริงจากความเท็จลงมา แท้จริง บรรดาผู้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของอัลลอฮฺ สำหรับพวกเขาคือ การลงโทษอันสาหัส และอัลลอฮฺ (เพื่อลงโทษคนบาป ผู้ปฏิเสธ และผู้ดื้อรั้น) เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงลงโทษตอบแทน

สาเหตุของการประทานโองการ

นักอรรถาธิบายอัล-กุรอานบางท่านกล่าวว่า ประมาณ 80 กว่าโองการ ของอัล-กุรอานบทนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของผู้แทนคริสศาสนิก และคริสเตียนจากพวกนัจรอน

ผู้แทนคริสตศาสนิกมีจำนวน 60 คน ซึ่ง 14 คน เป็นหัวหน้าเผ่า และเป็นผู้มีเกียรติยศในหมู่พวกเขา ที่ได้รับการเลือกสรรจากพวกนัจรอน สามคนจากพวกเขาเป็นหัวหน้าชาวคริสต์ทั้งหมด ไม่ว่าคริสตศาสนิกจะประสบปัญหาอะไร ทุกคนจะย้อนกลับไปหาหัวหน้าทั้งสามคน ผู้แทนคริสตศาสนิกทั้ง 60 คน สวมใส่ชุดบุรุษประจำเผ่าบนีกะอับ เดินทางมายังมะดีนะฮฺ เพื่อพบท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) พวกเขาได้รับการต้อนรับให้พักในมัสญิด เมื่อถึงมัสญิดได้เวลานมาซของพวกเขาพอดี พวกเขาเริ่มพิธีโดยการเป่าสังข์เพื่อเรียกทุกคนเข้าสู่พิธี หลังจากนมาซเสร็จเรียบร้อยแล้ว อากิบ กับซัยยิด ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ของเผ่า ส่วนหัวหน้าคนอื่น ๆ เป็นหัวหน้าฝ่ายเดินทาง จัดเสบียง ดูแลความเรียบร้อย และอื่น ๆ ซึ่งล้วนได้รับความไว้วางใจจากชาวคริสต์ทั้งหมด พวกเขาเดินทางมาพบท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และเริ่มต้นสนทนา ท่านศาสดาเชิญชวนให้พวกเขาเข้ารับอิสลาม และยอมจำนนต่อพระเจ้า

อากิบกับซัยยิด กล่าวว่า พวกเราเข้ารับอิสลามก่อนท่าน และยอมจำนนต่อพระเจ้าแล้ว

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า พวกท่านอ้างได้อย่างไรว่าศาสนาของท่านถูกต้อง ทั้งที่การแสดงออกของพวกท่านมิได้บ่งบอกว่ายอมรับพระเจ้า พวกท่านเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีบุตร และอีซาบุตรของมัรยัมก็คือ บุตรของพระองค์ พวกท่านสักการไม้กางเขน และพวกท่านรับประทานเนื้อสุกร สิ่งเหล่านี้ล้วนขัดแย้งกับหลักการศาสนาแห่งสัจธรรมทั้งสิ้น

พวกเขากล่าวว่า ใช่ ถูกต้องแล้วพวกเราปฏิบัติเช่นที่ท่านกล่าวมา

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า มิใช่เช่นนี้หรือ พระเจ้าทรงอานุภาพเหนือทุกสรรพสิ่ง ทรงดำรงอยู่นิจกาลโดยพระองค์เอง สรรพสิ่งอื่นต้องพึ่งพิงพระองค์

พวกเขากล่าวว่า ถูกต้องแล้ว

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า อีซามีคุณสมบัติเหล่านี้หรือไม่

พวกเขากล่าวว่า ไม่มี

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า รู้หรือไม่ว่าไม่มีสิ่งใดในฝากฟ้าและแผ่นดินปกปิดพระองค์ พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

พวกเขากล่าวว่า พวกเรารู้ดี

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงสอนแล้ว อีซารู้สิ่งอื่นนอกจากนั้นหรือไม่

พวกเขากล่าวว่า ไม่

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า พวกท่านรู้หรือไม่ว่า พระเจ้าทรงบันดาลอีซาไว้ในครรภ์ของมารดา ตามที่พระองค์ทรงประสงค์

พวกเขากล่าวว่า มันเป็นเช่นนั้น

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า อีซาเหมือนกับทารกคนอื่น ๆ ที่มารดาของเขาอุ้มครรภ์ไว้จนครบแล้วคลอดออกมาเหมือนทารกทั่วไป และหลังจากคลอดเขากินอาหารเหมือนกับเด็กทั่วไปใช่หรือไม่

พวกเขากล่าวว่า ใช่ เป็นเช่นนั้น

ศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ อีซาจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร ทั้งที่เขาไม่มีสิ่งใดเหมือนกับบิดาแม้แต่นิดเดียว

เมื่อสนทนามาถึงตอนนี้ ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ในเวลานั้นอัล-กุรอานประมาณ 80 กว่าโองการ ตอนต้นของบทนี้ได้ถูกประทานลงมา เพื่ออธิบายวิชาการและโครงสร้างของอิสลาม

คำอธิบาย

เกี่ยวกับอักษรย่ออธิบายแล้วตอนต้นของบทบะเกาะเราะฮฺ ไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำอีก ส่วนโองการที่สองกล่าวว่า อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ผู้ทรงชีวิตอยู่เสมอ ผู้ทรงดำรงอยู่นิจกาล (โดยพระองค์เอง) ซึ่งอธิบายไว้แล้วในโองการที 255 บทบะเกาะเราะฮฺ

โองการถัดมากล่าวกับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า พระเจ้าคือ ผู้ทรงชีวิตอยู่เสมอ ผู้ทรงดำรงอยู่นิจกาล อัล-กุรอานถูกประทานลงมาที่เจ้า เป็นสัญลักษณ์ของสัจธรรม และรับรองคัมภีร์ที่มีมาก่อนหน้านั้น พระองค์คือผู้ประทานคัมภีร์เตารอต และอิลญิลลงมาก่อนอัล-กุรอานเพื่อชี้นำมวลมนุษยชาติ

หลังจากนั้นกล่าวว่า พระองค์ได้ประทานอัล-กุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่จำแนกความจริงออกจากความเท็จ (อัลฟุรกอน) รำว่า ฟุรกอน หมายถึง สื่อที่ใช้ในการจำแนกสัจธรรมออกจากความจริง หรือกล่าวได้ว่าทุกสิ่งที่สามารถกำหนดความจริงและความเท็จได้ เรียกว่า อัล-ฟุรกอน ด้วยเหตุนี้ วันสงครามอัล-กุรอานจึงเรียกว่า เยามุลฟุรกอน เนื่องจากเป็นวันสู้รับระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ ดังนั้น คัมภีร์แห่งฟากฟ้าทั้งสามจึงมีคุณสมบัติดังกล่าวอยู่ในตัว และบางครั้งอัล-กุรอานถูกเรียกวว่า ฟุรกอนเหมือนกัน ดังที่กล่าวในบทอัล-ฟุรกอน โองการแรกว่า ความจำเริญยิ่งพึงมีแด่พระองค์ ผู้ทรงประทานอัล-ฟุรกอน แก่บ่าวของพระองค์ เพื่อเขาจะได้ตักเตือนแก่ปวงบ่าวทั้งมวล

หลังจากอธิบายการประทานคัมภีร์ทั้งสาม และความเป็นสัจธรรมของคัมภีร์แล้ว อัล-กุรอานกล่าวถึงบุคคลที่ปฏิเสธคัมภีร์ และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งพวกเขาเป็นปรปักษ์กับบรรดาศาสดา และโองการของพระเจ้า พระองค์เตือนสำทับพวกเขาว่า บรรดาผู้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของอัลลอฮฺ สำหรับพวกเขาคือ การลงโทษอันสาหัส และกล่าวเสริมว่า พระเจ้าทรงอานุภาพ หมายถึงพระองค์ทรงอำนาจ ทรงสามารถเหนือทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดขจัดพระองค์ได้ และพระองค์คือ ผู้ทรงลงโทษตอบแทน บรรดาผู้ปฏิเสธพึงรู้ไว้เถิดว่า ไม่มีความชั่วใดที่พวกเขาขวนขวายไว้จะเล็ดรอดสายตาของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดในฟากฟ้าและแผ่นดินสามารถปกปิดพระองค์ได้

คำว่า อินติกอม วันนี้ถูกใช้ในความหมายของการล้างแค้น หรือแก้แค้นกันโดยไม่อาจอภัยแก่กัน หรือไม่อาจปรับความเข้าใจแก่กันได้ โดยหลักการอิสลามถือว่าสิ่งนี้มิใช่คุณสมบัติที่ดีไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจากอิสลามสนับสนุนการอภัย การปรับความเข้าใจ และการแสดงมิตรภาพที่ดีต่อกันมากกว่าการเป็นศัตรู ซึ่งในความเป็นจริงคำว่า อินติกอม ตามรากศัพท์แล้วมิได้หมายถึง การล้างแค้น แต่หมายถึง การลงโทษผู้กระทำความผิด แน่นอนการลงโทษผู้กระทำความผิดมิใช่เป็นการกดขี่ และมิใช่การกระทำที่สากลต่างให้การยอมรับเท่านั้น ทว่าการไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดกับสติปัญญา และความยุติธรรม

ประเด็นสำคัญ

คำว่า ฮัก ตามรากศัพท์หมายถึง การเข้ากันได้ หรือการสัมพันธ์กัน ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าตรงกับความเป็นจริงจึงเรียกว่า ฮัก และการเรียกพระเจ้าว่า ฮัก เนื่องด้วย อาตมันบริสุทธิ์ของพระองค์ เป็นสิ่งมีอยู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อันมิสามารถปฏิเสธได้ในโลกของการมีอยู่ อีกนัยหนึ่ง ฮัก หมายถึง ความเป็นจริงที่พิสูจน์แล้วว่ามีอยู่จริง ดำรงอยู่เป็นนิจกาล สิ่งโมฆะทั้งหลายไม่อาจกร่ำกรายเข้ามาได้