@laravelPWA
โองการที่ 221 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
  • ชื่อ: โองการที่ 221 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 7:22:51 11-6-1404

โองการที่ 221 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์


وَ لا تَنكِحُوا الْمُشرِكَتِ حَتى يُؤْمِنَّ وَ لأَمَةٌ مُّؤْمِنَةٌ خَيرٌ مِّن مُّشرِكَة وَ لَوْ أَعْجَبَتْكُمْ وَ لا تُنكِحُوا الْمُشرِكِينَ حَتى يُؤْمِنُوا وَ لَعَبْدٌ مُّؤْمِنٌ خَيرٌ مِّن مُّشرِك وَ لَوْ أَعْجَبَكُمْ أُولَئك يَدْعُونَ إِلى النَّارِ وَ اللَّهُ يَدْعُوا إِلى الْجَنَّةِ وَ الْمَغْفِرَةِ بِإِذْنِهِ وَ يُبَينُ ءَايَتِهِ لِلنَّاسِ لَعَلَّهُمْ يَتَذَكَّرُونَ (221)
ความหมาย

221. และจงอย่าแต่งงานกับหญิงผู้ตั้งภาคีเทียบเทียมพระเจ้า จนกว่านางจะศรัทธา แน่นอนทาสหญิงผู้ศรัทธานั้นดียิ่งกว่าหญิงที่ผู้ตั้งภาคี แม้ว่านาง (จะสวย ร่ำรวย มีเกียรติ) เป็นที่ต้องใจสูเจ้าก็ตาม และจงอย่ายกหญิงศรัทธาให้แต่งงานกับชายผู้ตั้งภาคี จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา แน่ทาสชายผู้ศรัทธานั้นดีกว่าชายผู้ตั้งภาคี และแม้ว่าเขาเป็นที่ต้องใจของสูเจ้าก็ตาม พวกเขาชักชวนไปสู่ไฟนรก อัลลอฮฺ ทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และการอภัยโทษ โดยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์ทรงแจกแจงโองการทั้งหลายของพระองค์แก่ปวงมนุษย์ เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้รำลึก

สาเหตุของการประทานโองการ

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ส่งชายคนหนึ่งนามว่า มุรซิร ไปยังมักกะฮฺ เขาได้เข้ามักกะฮฺ เพื่อปฏิบัติคำสั่งของท่านศาสดา ณ ที่นั้นเขาพบสตรีนางหนึ่งนามว่า อินาก เป็นหญิงที่สวยงามมาก ซึ่งเขารู้จักนางขณะที่เป็นผู้ปฏิเสธ นางแสดงพฤติกรรมเหมือนเดิมคือ เชิญชวนเขาไปกระทำความผิด แต่เนื่องจากมุรซิรเป็นมุสลิม เขาจึงไม่ยอมรับคำเชิญของนาง ต่อมานางขอแต่งงานด้วย มุรซิร จึงนำเรื่องไปบอกกับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) โองการข้างต้นจึงประทานลงมา และแจ้งกับบรรดามุสลิมว่า สตรีที่ตั้งภาคีเทียบเทียมพระเจ้าไม่มีค่าพอที่จะแต่งงานเป็นภรรยาของชายผู้ศรัทธาได้

คำอธิบาย

ตามคำอธิบายของสาเหตุที่ประทานโองการ โองการข้างต้นเป็นคำตอบสำหรับเรื่องแต่งงานกับบรรดาผู้ตั้งภาคี เนื่องจากห้ามแต่งงานกับผู้ปฏิเสธ หรือผู้ตั้งภาคีทั้งหลายทั้งชายและหญิง และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างหญิงผู้ศรัทธากับหญิงผู้ปฏิเสธ หญิงผู้ศรัทธามีค่าและดีกว่า เนื่องจากเป้าหมายของการแต่งงานมิใช่เรื่องการสมสู่เพียงอย่างเดียว สตรีนั้นถือว่าเป็นหุ้นส่วนชีวิตของบุรุษ เป็นครูผู้อบรมบุตรและธิดา และเป็นเกียรติยศครึ่งหนึ่งของตน ฉะนั้น ตนสามารถแลกความศรัทธา กับการตั้งภาคี บั้นปลายที่เลวร้าย ความสวยงามภายนอก และทรัพย์สมบัติเล็กน้อยได้อย่างไร

อัลกุรอานห้ามแต่งงานระหว่างหญิงผู้ศรัทธากับชายผู้ปฏิเสธ หรือชายผู้ศรัทธากับหญิงผู้ปฏิเสธ เนื่องจากพวกเขาไม่มีคุณค่าที่คู่ควรกับสูเจ้า และเน้นว่าทาสหญิงชายผู้ศรัทธาดีกว่าชายหญิงผู้ปฏิเสธ แม้ว่าพวกเขาจะมีความสวยงาม ร่ำรวย และมีเกียรติทางสังคมก็ตาม

หลังจากนั้นโองการอธิบายถึงหลักการว่า จงอย่าแต่งงานบุตรีของเจ้ากับชายผู้ปฏิเสธ ตราบที่เขายังไม่ศรัทธาแม้ว่าจะจำเป็น และไม่มีทางเลือกอย่างอื่นจงแต่งงานเธอกับทาสผู้ศรัทธา เนื่องจากทาสผู้ศรัทธาดีกว่าชายผู้ปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะร่ำรวย มีเกียรติ และหล่อกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่ต้องใจของเจ้าก็ตาม

สุดท้ายโองการกล่าวถึงเหตุผลของบัญญัติดังกล่าว โดยเชิญชวนให้คิดพิจารณา โดยกล่าวว่า พวกเขาชักชวนไปสู่ไฟนรก อัลลอฮฺ ทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และการอภัยโทษ

ประเด็นสำคัญ

ปรัชญาของการห้ามแต่งงานกับผู้ปฏิเสธ

คำว่า นิกาฮฺ ในเชิงภาษาหมายถึง การสมสู่ทางเพส หรือการกล่าวอักด์แต่งงาน ซึ่งจุดประสงค์ของโองการคือความหมายที่สอง แม้ว่านักภาษาศาสตร์บางท่านจะกล่าวว่า หมายถึง อักด์ หลังจากนั้นอนุญาตให้สมสู่ทางเพศก็ตาม

ปรัชญาของการห้ามแต่งงานกับผู้ปฏิเสธ เนื่องจากการแต่งงานเป็นรากฐานสำคัญของการขยายเผ่าพันธุ์ การอบรมสั่งสอนบุตรธิดา และการขยายสังคม ซึ่งการอบรมครอบครัวมีผลอย่างมาก อีกด้านหนึ่งการอบรมเลี้ยงดูทารกแรกเกิดเป็นหน้าที่ของบิดามารดา การเรียนรู้พฤติกรรมต่าง ๆ และการลอกเรียนแบบ ย่อมได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากบิดามารดา

ประการที่สาม การตั้งภาคีเทียบเทียม คือต้นเหตุของการหลงทาง ซึ่งในความเป็นจริงเท่ากับ เป็นการสุมไฟให้กับตนเองทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ด้วยเหตุนี้ อัลกุรอานจึงไม่อนุญาตให้มุสลิมโยนตนเอง หรือบุตรธิดาลงสู่ไฟนรก

ผู้ตั้งภาคีเทียบเทียมเป็นใคร

คำว่า มุชริก ในอัลกุรอาน ส่วนใหญ่หมายถึง บรรดาที่เคารพบูชารูปปั้น แต่นักอรรถาธิบายบางท่านเชื่อว่า มุชริก นั้นครอบคลุมผู้ปฏิเสธทั้งหมด เช่น พวกยิว คริสต์ หรือพวกบูชาไฟ (ชาวคัมภีร์ทั้งหมด) เนื่องจากกลุ่มชนเหล่านี้ล้วนนำสิ่งอื่นขึ้นเทียบเทียมกับพระเจ้าทั้งสิ้น

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวไว้ในพินัยกรรมของท่านว่า จงขับไล่บรรดามุชริกออกจากแคว้นอาหรับ หลักฐานจากคำกล่าวอ้างข้างต้นคือ เพราะเหตุใดท่านจึงไม่ขับไล่ชาวคัมภีร์ทั้งหมดออกจากแคว้นอาหรับ แต่ในฐานะของชนส่วนน้อย ตามคำสั่งของอัลกุรอาน ถ้าพวกเขาจ่ายส่วยให้กับรัฐ พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในอิสลามต่อไปได้

โองการข้างต้นมิได้ถูกยกเลิก

นักอรรถาธิบายบางท่านกล่าวว่า กฎของโองการข้างต้นถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งโองการที่ยกเลิกโองการดังกล่าวคือ โองการที่ อนุญาตให้แต่งงานกับหญิงชาวคัมภีร์ได้

พวกเขาคิดว่าโองการที่กำลังกล่าวถึง ได้ห้ามแต่งงานกับผู้ปฏิเสธทั้งหมด จึงคิดว่าโองการที่ 5 บทอัล-มาอิดะฮฺ ที่อนุญาตให้แต่งงานกับหญิงชาวคัมภีร์ เป็นโองการที่มายกเลิกโองการดังกล่าว แต่เมื่อพิจารณาคำอธิบายที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่า โองการห้ามแต่งงานกับผู้ตั้งภาคีที่เคารพสักการบูชารูปปั้น มิได้หมายถึงหญิงผู้ปฏิเสธชาวคัมภีร์ เช่น ยิว และคริสเตียนแต่อย่างใด แน่นอน การอนุญาตให้แต่งงานกับหญิงผู้ปฏิเสธชาวคัมภีร์ เมื่อพิจารณารายงานต่าง ๆ จากอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) จะพบว่าจุดประสงค์คือ การแต่งงานชั่วคราว มิใช่การแต่งงานถาวร

การสร้างครอบครัวต้องทำด้วยการพิจารณา

นักอรรถาธิบายอัลกุรอานบางท่าน กล่าวถึงบัญญัติที่ละเอียดอ่อนในการสร้างครอบครัว ณ ที่นี้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกัน และอธิบายบทบัญญัติจากโองการดังกล่าวไว้ 12 ข้อด้วยกันกล่าวคือ

1. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานกับผู้ตั้งภาคี

2. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การห้ามสมสู่ขณะมีรอบเดือน

3. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การสาบาน อันเป็นบทนำของ การอีลาอฺ หมายถึง การสาบานว่าจะไม่สมสู่กับภรรยา

4. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การอีลาอฺ และการติดตามด้วยการหย่าร้าง

5. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การรอคอยกำหนดเวลาของหญิงที่หย่าร้าง

6. บทบัญญัติเกี่ยวกับ จำนวนการหย่าร้าง

7. การดูแล หรือการหย่าร้างหญิงด้วยความดี

8. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การให้นมทารก

9. บทบัญญัติเกี่ยวกับ หญิงสามีเสียชีวิต

10. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การสู่ขอหญิงก่อนที่ยังอยู่ในกำหนดเวลา (อิดดะฮฺ)

11. บทบัญญัติเกี่ยวกับ มะฮัรของหญิงที่หย่ารร้างก่อนที่จะสมสู่

12. บทบัญญัติเกี่ยวกับ การแต่งงานชั่วคราว (มุตอะฮฺ) กับหญิงที่สามีเสียชีวิต หรือหย่าร้าง ซึ่งกฎบัญญัติดังกล่าวย้ำเตือนเรื่องศีลธรรม ซึ่งการอธิบายแสดงให้เห็นว่าปัญหาการสร้างครอบครัว เป็นหนึ่งในการแสดงความเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งต้องอาศัยความคิดเป็นเกณฑ์ในการสร้างสรรค์