@laravelPWA
โองการที่ 207 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
  • ชื่อ: โองการที่ 207 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 11:17:57 11-6-1404

โองการที่ 207 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์


مِنَ النَّاسِ مَن يَشرِى نَفْسهُ ابْتِغَاءَ مَرْضاتِ اللَّهِ وَ اللَّهُ رَءُوف بِالْعِبَاد (207)
ความหมาย
207. มีบางคนในหมู่มนุษย์ขายชีวิตของเขา เพื่อแสวงหาความพึงใจของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงเอ็นดูแก่ปวงบ่าว
สาเหตุของการประทานโองการ
ซุอฺละบีย์ นักอรรถาธิบายอัลกุรอานชาวซุนนะฮฺ กล่าวว่า เมื่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตัดสินใจว่าต้องอพยพออกจากมักกะฮฺ บรรดาผู้ตั้งภาคีเทียบเทียมพระเจ้าได้ล้อมของท่านไว้เพื่อมุ่งหวังเอาชีวิต ท่านได้สั่งให้อะลี (อ.) ไปนอนแทนที่ของท่าน และห่มผ้าสีเขียวอันเป็นผ้าห่มเฉพาะกายของท่าน
ในเวลานั้นพระเจ้าทรงประทานวะฮฺยูให้ญิบรออีล และมีกาอีลความว่า พระเจ้าทรงสร้างความเป็นพี่น้องระหว่างท่านทั้งสอง และทำให้คนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวกว่าอีกคนหนึ่ง ระหว่างท่านทั้งสองใครจะเสียสละชีวิตบ้าง ไม่มีใครพร้อม จึงได้มีวะฮฺยูแก่พวกเขาอีกว่า บัดนี้ อะลี (อ.) ได้นอนแทนที่ศาสดาแล้ว และพร้อมที่จะขายชีวิตของตนเพื่อแลกกับความพอใจของฉัน พวกเจ้าจงลงไปปกป้องชิวิตของเขาเดี๋ยวนี้ ขณะที่ญิบรออีลนั่งทางด้านศีรษะ ส่วนมีกาอีลนั่งทางด้านเท้าของท่านอะลี ญิบรออีลกล่าวว่า วิเศษเหลือเกิน วิเศษเหลือเกิน โอ้อะลีพระเจ้าทรงสร้างความภาคภูมิใจแก่มวลมลาอิกะฮฺทั้งหลาย ด้วยเกียรติยศของท่าน
เวลานั้นโองการได้ประทานลงมา และด้วยเหตุนี้ ในคืนที่มืดมิดนั้นจึงเรียกว่า ลัยละตุลมะบีต
อิบนิ อับบาซ กล่าวว่า โองการได้ประทานลงมา เมื่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หลบบรรดาผู้ปฏิเสธออกไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง พร้อมกับอบูบักรฺ ขณะที่อะลีนอนแทนที่ของท่าน
คำอธิบาย การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ในคืนที่มืดมิด
แม้ว่าโองการดังกล่าวจะลงมาเกี่ยวกับการอพยพของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และการเสียสละของท่านอิมามอะลี (อ.) ก็ตาม แต่ความโองการมีความหมายที่ครอบคลุมกว้างกว่านั้น ซึ่งหากพิจารณาตามความเป็นจริง โองการเป็นประเด็นที่ตรงกันข้ามกับโองการก่อนหน้านี้ที่กล่าวถึงพวกสับปลับ พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ดื้อดึง อคติ มีความดันทุรังสูง พวกเขาพยายามรักษาบุคลิกภาพในหมู่ประชาชน และพยายามแสดงตนว่าเป็นผู้ศรัทธา มีความปรารถนาดี ทั้งที่ความเป็นจริงการกระทำกับคำพูดขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากการก่อการเสียหายบนหน้าแผ่นดินด้วยการเผาเรือกสวนไร่นา และฆ่าปศุสัตว์แล้ว พวกเขามิได้กระทำอย่างอื่น แต่กลุ่มชนที่โองการกำลังกล่าวถึงแตกต่างไปจากชนกลุ่มแรก เนื่องด้วยพวกเขากำลังทำการค้ากับพระผู้เป็นเจ้า และขายทุกอย่างที่มีแก่พระองค์ แม้แต่ชีวิตของตนเอง เพียงเพื่อมุ่งหวังความพึงพอใจจากพระองค์ พวกเขามิได้ซื้อสิ่งใดจากพระองค์ และเนื่องจากความเสียสละของพวกเขาทำให้คำสอนของศาสนา ชีวิตการเป็นอยู่ การปรับปรุงแก้ไข และสัจธรรมดำอยู่อย่างมั่นคงจวบจนถึงปัจจุบัน มนุษย์มีการดำรงชีวิตราบรื่นขึ้น และต้นไม้แห่งอิสลามก็เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง หยั่งรากลงดินด้วยความมั่นคง
ประโยคที่กล่าวว่า ทรงเอ็นดูแก่ปวงบ่าว บ่งชี้ว่าพระเจ้านอกจากเป็นผู้ทรงประทานชีวิตแก่มนุษย์แล้ว พระองค์ยังเป็นผู้ซื้อชีวิตของเขาด้วยราคาที่แพงลิบลิ่วนั่นคือ ความพึงใจของพระองค์ที่ประทานให้มนุษย์
สิ่งสำคัญที่โองการเน้นคือ การค้าในครั้งนี้ผู้ขายคือมนุษย์ ผู้ซื้อคือพระเจ้า สินค้าที่ทำการค้าขายคือ ชีวิต และสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าในครั้งนี้คือ ความพึงใจและความปราโมทย์แห่งอาตมันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ขณะที่การค้าขายในที่อื่นถูกซื้อด้วยสวรรค์ที่ด้านล่างมีลำธารน้ำไหล หรือการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากไฟนรก เช่น กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงซื้อจากผู้ศรัทธา ซึ่งชีวิตและทรัพย์สมบัติของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์ พวกเขาต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ พวกเขาฆ่าและถูกฆ่าด้วยเหตุนี้เองโองการข้างต้นจึงเริ่มต้นโดยกล่าวว่า (มินันนาซิ) ซึ่งคำว่า มิน ในประโยคที่นี้ให้ความหมายว่า บางส่วน โองการจึงมีความหมายว่า มีบางคนในหมู่มนุษย์ขายชีวิตของเขา หมายถึงบางคนเท่านั้นที่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ โดยที่มิได้มุ่งหวังสิ่งใดจากการพลีชีวิตของตน นอกจากความปราโมทย์ของพระเจ้า ส่วนโองการที่ 111 บทอัตเตาบะฮฺ ที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลายทำการค้ากับพระเจ้า และแลกชีวิตพร้อมทรัพย์สมบัติของพวกเขาด้วยสวรรค์ ต่างไปจากโองการที่กำลังกล่าวถึง
อย่างไรก็ตามโองการข้างต้น ตามคำอธิบายของสาเหตุที่ประทานโองการเป็นการแสดงให้เห็นถึง ความประเสริฐอันยิ่งใหญ่ของท่านอิมามอะลี (อ.) ซึ่งมีกล่าวไว้ในแหล่งอ้างอิงสำคัญทั้งหลาย