@laravelPWA
โองการที่ 189 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
  • ชื่อ: โองการที่ 189 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 11:29:13 11-6-1404

โองการที่ 189 ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์


การปรากฏดวงจันทร์คือปฏิทินของพระเจ้าสำหรับทุกคน

يَسئَلُونَك عَنِ الأَهِلَّةِ قُلْ هِىَ مَوَقِيت لِلنَّاسِ وَ الْحَجّ وَ لَيْس الْبرُّ بِأَن تَأْتُوا الْبُيُوت مِن ظهُورِهَا وَ لَكِنَّ الْبرَّ مَنِ اتَّقَى وَ أْتُوا الْبُيُوت مِنْ أَبْوَبِهَا وَ اتَّقُوا اللَّهَ لَعَلَّكمْ تُفْلِحُونَ (189)

ความหมาย

189. เขาทั้งหลายถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนข้างขึ้น กล่าวเถิด มันคือเวลากำหนด (ปฏิทินธรรมชาติ) สำหรับมนุษย์ และ (การกำหนด) พิธีหัจญ์ ไม่ใช่สิ่งที่ดี การที่สูเจ้าเข้ามาในบ้าน ทางข้างหลังบ้าน แต่สิ่งที่ดีคือผู้สำรวมตนจากความชั่ว และเข้ามาในบ้านทางประตูของมัน จงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ เพื่อสูเจ้าจะได้รับความสำเร็จ

สาเหตุของการประทานโองการ

มียิวกลุ่มหนึ่งถามท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับเดือนข้างขึ้นว่าหมายความว่าอะไร และมีประโยชน์อันใด โองการจึงได้ประทานลงมา อธิบายถึงประโยชน์ทั้งทางด้านวัตถุ และศีลธรรมในวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์

คำอธิบาย ปฏิทินธรรมชาติ

นักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้มาหาท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เพื่อถามคำถาม และบทสรุปประเด็นปฏิทินธรรมชาติ แต่เนื่องจากความดื้อแพ่งของพวกเขา อัลกุรอานจึงถ่ายถอด คำถามของพวกเขาว่า เขาทั้งหลายถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนข้างขึ้น

คำว่า อะฮิลละฮฺ เป็นพหูพจน์ของคำว่า ฮิลาล หมายถึงเดือนในคืนแรกและที่สอง บางคนกล่าวว่าเดือนในสามคืนแรกเรียกว่า ฮิลาล บางคนเรียกว่า เกาะมัร ประโยคที่กล่าวว่า เขาทั้งหลายถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนข้างขึ้น อัลกุรอานเลือกใช้กริยาปัจจุบันกาล หมายถึงว่า คำถามเหล่านี้ได้ถามท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งด้วยกัน

หลังจากนั้นกล่าวว่า กล่าวเถิด มันคือเวลากำหนด (ปฏิทินธรรมชาติ) สำหรับมนุษย์ และ (การกำหนด) พิธีหัจญ์ หมายถึงวิถีชีวิตประจำวันก็ต้องพึ่งกำหนดเวลาดังกล่าว ตลอดจนศาสนพิธี ที่กำหนดเป็นพิธีกรรมประจำปี ซึ่งในความเป็นจริงเดือนข้างขึ้นถือเป็นปฏิทินธรรมชาติสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้มีความรู้หรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงจุดใดของโลก สามารถใช้ปฏิทินธรรมชาติได้ทั้งสิ้น มิใช่เพียงแค่ต้นเดือน กลางเดือน หรือปลายเดือนเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากปฏิทินธรรมชาติได้ ทว่าถ้าพิจารณาในคืนต่าง ๆ อย่างรอบคอบก็สามารถจำแนกวันเวลาได้ แน่นอนว่าวิถีชีวิตของมนุษย์ไม่สามารถปราศจากตารางเวลาได้ หมายถึงเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตของเขาจะปราศจากเครื่องมือสำหรับกำหนดวันที่ให้แก่เขา ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรจึงได้ประทานปฏิทินธรรมชาตินี้แก่มนุษย์ทุกคน

โดยหลักการแล้วความพิเศษอย่างหนึ่งของกฎหมายอิสลามคือ คำสั่งต่างจะยึดการเทียบธรรมชาติเป็นเกณฑ์ เนื่องจากการเทียบธรรมชาติเป็นสื่อที่อยู่ในมือของทุกคน กาลเวลาไม่อาจมีผลต่อมันได้

ในทางกลับกัน ถ้าหากเทียบกฎเกณฑ์กับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ แน่นอนสิ่งนี้มิได้อยู่ในมือของทุกคน แม้แต่ในยุคสมัยของเราจนบัดนี้ ประชาชนยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการเปรียบเทียบของโลกได้

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าตามหลักการอิสลามใช้ธรรมชาติเป็นตัวเปรียบเทียบเพื่อนำมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งบางครั้งจะเห็นว่าแค่การกำหนดเวลา บางครั้งใช้ความยาวของคืบ ก้าวเท้า ข้อนิ้วมือ ส่วนสูง พระอาทิตย์ตกดิน แสงสีเงินยามรุ่งอรุณ พระอาทิตย์โคจรไปครึ่งหนึ่งตอนกลางวัน และการเห็นเดือนใหม่เป็นต้น

โองการข้างต้นกล่าวถึงการกำหนดพิธีหัจญ์โดยยึดการมองเห็นดวงจันทร์ตั้งแต่เริ่มโองการ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นถึงประเพณีที่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับหัจญ์ ของอาหรับในยุคโฉดเขลาก่อนการมาของอิสลาม ซึ่งได้สั่งห้ามประชาชนไม่ให้ปฏิบัติ อัลกุรอาน กล่าวว่า ไม่ใช่สิ่งที่ดี การที่สูเจ้าเข้ามาในบ้าน ทางข้างหลังบ้าน แต่สิ่งที่ดีคือผู้สำรวมตนจากความชั่ว และเข้ามาในบ้านทางประตูของมัน จงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ เพื่อสูเจ้าจะได้รับความสำเร็จ

นักอรรถาธิบายอัลกุรอานส่วนใหญ่กล่าวว่า ในยุคโฉดเขลาเมื่อสวมชุดอิฮฺรอมสำหรับพิธีหัจญ์ พวกเขาจะไม่ใช้เส้นทางปกติ หรือเข้าบ้านทางประตู พวกเขาคิดว่าการกระทำเช่นนั้นไม่อนุญาตสำหรับผู้ที่สวมใส่ชุดอิฮฺรอม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเข้าบ้านจากข้างหลังบ้านเฉพาะเวลาใส่ชุดอิฮฺรอมเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งดีงาม เนื่องจากละเว้นความเคยชินที่เคยปฏิบัติ ซึ่งความหมายของอิฮฺรอมก็คือ การงดเว้นความเคยชิน

โองการข้างต้นมีความหมายกว้างและครอบคลุมมากกว่า เนื่องจากต้องการบอกว่าทุกภารกิจที่ปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนาหรือไม่ก็ตาม ควรเลือกปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง มิใช่แนวทางที่หลงผิด ซึ่งนำไปสู่ความเสียหาย ตามความหมายข้างต้นนี้ท่านญาบิร ได้รายงานจากอิมามบากิร (อ.) ว่า ครอบครัวท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) คือประตูแห่งพระเจ้า เป็นทางที่จะนำไปถึงพระองค์ เป็นผู้เชิญชวนไปสู่สรวงสวรรค์ เป็นผู้นำทาง และเป็นข้อพิสูจน์ตราบจนถึงวันฟื้นคืนชีพ

รายงานของท่านอิมามสามารถกล่าวได้ว่า เป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของโองการ เนื่องจากภารกิจทางศาสนาทั้งหมดต้องได้รับการถ่ายถอดจากแนวทางหลัก กล่าวคือ บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ผู้เป็นทายาทของท่านศาสดาเท่านั้น ตามที่ฮะดีซซะเกาะลัยนฺกล่าวว่า อะฮฺลุลบัยตฺคือสิ่งหนักที่มีค่ายิ่งเคียงข้างอัลกุรอาน ดังนั้น แนวทางการดำเนินชีวิตจึงจำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดออกมาจากอะฮฺลุลบัยตฺ เนื่องจากวะฮฺยู (ดำรัส) ของพระเจ้าลงมาที่บ้านของพวกเขา และพวกเขาเป็นผู้ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจนเติบใหญ่โดยอัลกุรอาน

ประเด็นสำคัญ

คำถามต่าง ๆ ที่ถามท่านศาสดา

ประมาณ 15 ครั้งในอัลกุรอาน ที่โองการใช้คำว่า พวกเขาจะถามเจ้า บ่งบอกว่าประชาชนถามคำถามมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ในประเด็นปัญหาที่แตกต่างกัน บางครั้งอาจเป็นปัญหาเดียวกัน แต่ถามบ่อยครั้งซ้ำไปซ้ำมา สิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดคือ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จากจะไม่โกรธแล้ว ท่านยังแสดงความยินดีต่อคำถามเหล่านั้น และต้อนรับพวกเขาอย่างดีทุกครั้ง ท่านศาสดาตอบพวกเขาโดยผ่านวะฮฺยูของพระเจ้า

คำถาม เป็นหนึ่งในสิทธิของประชาชนที่มีต่อผู้นำ เป็นกุญแจไขปัญหาที่ไม่เข้าใจ และเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของความรู้ คำถามเป็นสื่อของการถ่ายทอดความรู้ การตั้งคำตามที่หลากหลายในทุกสังคม บ่งบอกถึงการพัฒนาการด้านความคิด และการขับเคลื่อนของพลังความคิด คำถามต่าง ๆ ที่เกิดในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แสดงให้เห็นถึงความสั่นคอนด้านความคิดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ที่เกิดจากอิทธิพลของอัลกุรอานและอิสลาม