คำอธิบายโองการที่ 143 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
وَ كَذَلِك جَعَلْنَكُمْ أُمَّةً وَسطاً لِّتَكونُوا شهَدَاءَ عَلى النَّاسِ وَ يَكُونَ الرَّسولُ عَلَيْكُمْ شهِيداً وَ مَا جَعَلْنَا الْقِبْلَةَ الَّتى كُنت عَلَيهَا إِلا لِنَعْلَمَ مَن يَتَّبِعُ الرَّسولَ مِمَّن يَنقَلِب عَلى عَقِبَيْهِ وَ إِن كانَت لَكَبِيرَةً إِلا عَلى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ وَ مَا كانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَنَكُمْ إِنَّ اللَّهَ بِالنَّاسِ لَرَءُوفٌ رَّحِيمٌ (143)
ความหมาย
143. ในทำนองเดียวนั้น เราได้ทำให้สูเจ้าเป็นประชาชาติเป็นกลาง เพื่อว่าสูเจ้าจะได้เป็นพยานแก่ปวงมนุษย์ และเราะซูลเป็นพยานต่อสูเจ้า และเรามิได้ตั้งทิศซึ่งเจ้าเคยหันไป เว้นแต่เพื่อเราจะได้จำแนกให้รู้ถึงผู้ที่ปฏิบัติตามเราะซูล จากผู้ที่โฉดเขลาที่หันส้นเท้าของเขากลับ แน่นอนการนี้เป็นเรื่องใหญ่ นอกเสียจากบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงชี้นำทาง และอัลลอฮฺ มิทรงทำลายการศรัทธาของสูเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงกรุณาปราณี ทรงเมตตามนุษย์เสมอ
คำอธิบาย ประชาชาติสายกลาง
โองการนี้กล่าวถึงปรัชญาและรหัสของการเปลี่ยนกิบละฮฺ เพราะเหตุใดกิบละฮฺของมุสลิมจึงเป็นกิบละฮฺระหว่างกลาง เนื่องจากพวกคริสเตียน เมื่อต้องการยืนหันไปทางสถานที่กำเนิดของศาสดาอีซา (อ.) ณ บัยตุลมุก็อดดิซ ต้องยืนค่อนมาทางทิศตะวันออก ส่วนพวกยิวซึ่งส่วนมากอาศัยอยู่ที่ชามาต และบาบิโลนเมื่อต้องการหันหน้าไปทางบัยตุลมุก็อดดิซต้องยืนค่อนไปทางทิศตะวันตก
ส่วนอัล-กะอฺบะฮฺ เมื่อเทียบกับมุสลิมในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของมะดีนะฮฺ อยู่ระหว่างกลางของทิศตะวันออกและตะวันตก ถือเป็นเส้นทางสายกลาง
การที่กล่าวว่า เพื่อว่าสูเจ้าจะได้เป็นพยานแก่ปวงมนุษย์และการเป็นพยานของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต่อประชาชาติอิสลาม อาจเป็นไปได้ว่าโองการต้องการบ่งาชี้ถึงความมั่นคง และการเป็นแบบอย่าง เพราะโดยปกติผู้ที่เป็นพยานจะคัดเลือกมาจากบุคคลที่เป็นกลาง หรือบุคคลตัวอย่าง หมายถึงการที่สูเจ้ามีความเชื่อเช่นนี้ และมีการเรียนรู้จึงเป็นประชาชาติตัวอย่าง ดั่งที่ศาสดาเป็นบุคคลตัวอย่างในหมู่สูเจ้า
ด้วยการกระทำและโครงสร้างของศาสนาสูเจ้าเป็นพยานยืนยันว่า มนุษย์สามารถเป็นวีระบุรุษได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ขณะที่มนุษย์ต้องหมกมุ่นอยู่กับภารกิจทางสังคม สามารถปกป้องศีลธรรมและจิตวิญญาณของตนให้สมบูรณ์ได้ และด้วยความเชื่อดังกล่าวสูเจ้าสามารถยืนยันได้ว่าศาสนา วิชาการ โลก และวันสุดท้ายนอกจากจะไม่ขัดแย้งกันแล้ว ยังเป็นการรับใช้กันและกันอีกต่างหาก
รหัสของการเปลี่ยนกิบละฮฺ
จากยุคสมัยที่อัล-กะอฺบะฮฺเป็นศูนย์กลางรูปปั้นของบรรดาพวกตั้งภาคีเทียบเทียมพระเจ้า พระองค์ทรงมีบัญชาชั่วคราวให้มุสลิมนมาซหันหน้าไปทางบัยตุลมุก็อดดิซ เพื่อแยกระหว่างมุสลิมกับผู้ปฏิเสธให้ชัดเจน
แต่เมื่อท่านศาสดาอพยพไปยังมะดีนะฮฺ และจัดตั้งการปกครองเรียบร้อยแล้ว พระองค์ปรารถนาให้พวกเขาแตกต่างจากประชาชาติอย่างสิ้นเชิง จึงมีพระบัญชาให้เปลี่ยนทิศนมาซกลับไปยังกะอฺบะฮฺ ซึ่งเป็นศูนย์เก่าแก่ที่สุดของพระเจ้าองค์เดียว และบรรดาศาสดาทั้งหลาย
แน่นอนว่า นมาซโดยหันหน้าไปทางบัยตุลมุก็อดดิซ เป็นสิ่งยากลำบากสำหรับพวกเขา เนื่องจากกะอฺบะฮฺคือแหล่งอารยะธรรมสำหรับพวกเขา ขณะเดียวกันการหันกลับไปสู่กะอฺบะฮฺอีกครั้ง หลังจากเคยชินกับการหันหน้าไปยังบัยตุลมุก็อดดิซก็เป็นเรื่องลำบากอีกเช่นกัน บรรดามุสลิมถูกทดสอบด้วยการกระทำดังกล่าว เพื่อให้ร่องรอยของการตั้งภาคีเทียบเทียมพระเจ้าถูกเผาไหม้ไปจนหมดสิ้น เป็นการตัดความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิงกับการตั้งภาคี และเป็นการแสดงความจำนนและนอบน้อมของจิตวิญญาณ ต่อพระบัญชาของพระองค์
อิสลามเป็นประชาชาติสายกลาง
คำว่า วะซัต ในเชิงภาษาหมายถึง สายกลาง ความเป็นกลางระหว่างสองสิ่ง หรือหมายถึงความน่าสนใจ ความสวยงาม ความสูงส่ง และความประเสริฐ ซึ่งทั้งสองความหมายย้อนกลับไปหาแก่นแท้ของความจริงหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้วความประเสริฐ หรือความสวยงามจะอยู่ในสิ่งที่ไม่มีความสุดโต่ง หรือความหย่อนยาน แต่จะอยู่ระหว่างทั้งสอง บนสายกลางหรือบนความสมดุลของทั้งสอง
คำว่าสายกลาง ถ้าหากพิจารณาด้านความเชื่อจะเห็นว่า มิใช่แนวทางของพวกที่เชื่อเลยเถิด พวกหลงผิด พวกตั้งภาคี หรือมิใช่แนวทางของการบีบบังคับ หรือการปล่อยวางแต่อย่างใด และมิได้เชื่อว่าคุณลักษณะของพระเจ้ามีสิ่งคล้ายเหมือน หรือหยุดนิ่ง
คำว่าสายกลาง ถ้าหากพิจารณาถึงคุณค่าด้านจิตวิญญาณและวัตถุ จะเห็นว่ามิได้จมดิ่งไปกับโลกแห่งวัตถุ จนลืมเลือนเรื่องจิตวิญญาณและศีลธรรม หรือมิได้หลงใหลแต่เรื่องจิตวิญญาณและปรโลกหน้า โดยไม่ได้ใส่ใจต่อโลกของวัตถุและไม่รับรู้ข่าวสารว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างบนโลกนี้ หรือมิได้เหมือนกับพวกยิว ซึ่งนอกจากผลประโยชน์ทางโลกแล้วพวกเขาไม่รู้จักสิ่งใดอีก หรือมิได้เหมือนกับบาทหลวงของพวกคริสเตียน ที่ละทิ้งโลกโดยสิ้นเชิง
คำว่าสายกลาง ถ้าหากพิจารณาด้านความสัมพันธ์ทางสังคม จะพบว่ามิได้เลือกเฉพาะพรรคพวกเพื่อนพร้องคนสนิท และตัดสัมพันธ์กับประชาโลกทั้งหมด และมิได้ปล่อยความอิสรเสรีให้หลุดลอยมือไป เหมือนกับพวกที่ถูกตะวันตกหรือตะวันครอบงำ ซึ่งได้ละลายประชาชาตินั้น ประชาชาตินี้จนหมดสิ้น
คำว่าสายกลาง ตามแบบอย่างด้านจริยธรรม ด้านการแสดงความเคารพภักดี หรือด้านการคิด สรุปคำว่าสายกลางมีอยู่ในทุกส่วนของของชีวิต
มุสลิมที่แท้จริงคนหนึ่ง ความเป็นมนุษย์ของเขามิอาจมีแค่ด้านเดียวได้ ทว่าต้องมีอยู่ในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความคิด ความศรัทธา ความยุติธรรม การขวนขวาย การต่อสู้ ความกล้าหาญ ความเมตตา ความพยายาม และความรู้
การเปรียบว่าเป็นสายกลาง ด้านหนึ่งการเป็นการจำแนกออกอย่างชัดเจน ถึงการพยานของประชาชาติอิสลาม เนื่องจากบุคคลที่ดำเนินอยู่ในสายกลางสามารถมองเห็นบุคคลที่ดำเนินชีวิตเอียงไปทางซ้าย หรือทางขวาได้อย่างชัดเจน และเป็นเหตุผลที่ซ่อนอยู่ กล่าวว่า การที่สูเจ้าเป็นพยานแก่ปวงมนุษย์ ก็ด้วยเหตุผลที่สูเจ้ามีความยุติธรรมและการเป็นประชาชาติสายกลางนั่นเอง
ประโยคที่กล่าวว่า ลินะอฺลัม (เพื่อจะได้รู้) ถูกกล่าวซ้ำหลายครั้งในอัล-กุรอานเกี่ยวกับพระเจ้า มิได้หมายความว่าพระเจ้ามิทรงรู้สิ่งใด ต่อมาได้ล่วงรู้ในสิ่งนั้น ทว่าจุดประสงค์หมายถึงการเกิดขึ้นไปตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น