คำอธิบายโองการที่ 124 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
  • ชื่อ: คำอธิบายโองการที่ 124 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 0:9:20 26-9-1404


คำอธิบายโองการที่ 124 จากบทอัลบะกอเราะฮ์

 

وَإِذِ ابْتَلَى إِبْرَاهِيمَ رَبُّهُ بِكَلِمَاتٍ فَأَتَمَّهُنَّ قَالَ إِنِّي جَاعِلُكَ لِلنَّاسِ إِمَامًا قَالَ وَمِن ذُرِّيَّتِي قَالَ لاَ يَنَالُ عَهْدِي الظَّالِمِينَ (124)

ความหมาย

124. และจงรำลึกถึง เมื่อพระผู้อภิบาล ทรงทดสอบอิบรอฮีม ด้วยถ้อยคำบางประการ แล้วเขาได้ปฏิบัติโดยครบถ้วน พระองค์ตรัสว่า แท้จริงฉันแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้นำมนุษย์ชาติ เขากล่าวว่า และลูกหลานของข้าพระองค์ด้วยไหม พระองค์ตรัสว่า สัญญาของฉันไม่แผ่รวมถึงผู้อธรรม (เฉพาะลูกหลานของเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์เท่านั้นเหมาะสม)

คำอธิบาย อิมามคือเกียรติยศที่สูงศักดิ์สำหรับอิบรออีม (อ.)

จากโองการนี้เป็นต้นไปโองการกล่าวถึงศาสดาอิบรอฮีม วีระบุรุษแห่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้สถาปนาอัล-กะอฺบะฮฺ อันเป็นศูนย์กลางของพระผู้เป็นเจ้า และการแสดงความเคารพภักดี ซึ่งเมื่อนับรวมแล้วประมาณ 18 โองการที่กล่าวถึงประเด็นนี้ จุดประสงค์ของโองการต้องการกล่าวถึง 3 ประเด็นสำคัญดังนี้

1. เป็นปฐมบทสำหรับการเปลี่ยนกิบละฮฺ

2. พวกยิวและคริสต์กล่าวอ้างว่า พวกเราคือ ผู้สืบทอดของอิบรอฮีม และศาสนาของเขา แต่โองการข้างต้นระบุว่า พวกเขาห่างไกลจากศาสนาของอิบรอฮีมเพียงใด

3. บรรดาผู้ตั้งภาคีเทียบเทียมพระเจ้าอ้างเช่นกันว่า พวกเขาคือผู้สืบทอดของอิบรอฮีม ซึ่งต้องสร้างความเข้าใจกับพวกเขาว่า อันที่จริงพวกเขากับอิบรอฮีมมิได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว

โองการข้างต้นกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของอิบรอฮีม กล่าวถึงรางวัลอันยิ่งใหญ่ (ตำแหน่งอิมาม) ที่พระองค์ทรงประทานให้ โดยกล่าวว่า แท้จริงฉันแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้นำมนุษย์ชาติ อิบรอฮีมขอต่อพระองค์ว่า ตำแหน่งอิมามนี้รวมถึงลูกหลานของข้าพระองค์ด้วยไหม จุดประสงค์ของอิบรอฮีม ไม่ต้องการให้รากฐานของนบูวัตร และอิมามัตถูกตัดขาดหรือถูกเจาะจงเฉพาะท่านเท่านั้น พระเจ้าทรงตอบรับคำขอร้องของอิบรอฮีม และตรัสกับอิบรอฮีมว่า สัญญาของฉัน (ตำแหน่งอิมาม) จะไม่รวมไปถึงพวกอธรรม และอัล-กุรอานกล่าวว่า เฉพาะลูกหลานที่บริสุทธิ์ของเจ้าเท่านั้นเหมาะสมกับตำแหน่งอิมาม

สรุปว่าโองการข้างต้น กล่าวถึงการแต่งตั้งอิบรอฮีมให้เป็นอิมามภายหลังจาก ผ่านการทดสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของอิบรอฮีม เป็นตำแหน่งที่สูงส่งกว่านบูวัต อิมามซอดิก (อ.) กล่าวถึงความจริงเรื่องนี้ว่า พระเจ้าทรงเลือกให้อิบรอฮีมเป็นบ่าวที่เฉพาะสำหรับพระองค์ ก่อนที่จะแต่งตั้งให้เป็นศาสดา และทรงแต่งตั้งให้เป็นศาสดาก่อนที่จะเลือกให้เป็นศาสนทูต ทรงแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตก่อนที่จะเลือกให้เป็นมิตรสนิท (เคาะลีล) และทรงแต่งตั้งให้เป็นเคาะลีล ก่อนที่จะเลือกให้เป็นอิมาม เมื่ออิบรอฮีมได้รับตำแหน่งทั้งหมดแล้ว ตรัสว่า แท้จริงฉันแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้นำมนุษย์ชาติ ตำแหน่งอิมามยิ่งใหญ่มากสำหรับอิบรอฮีม ท่านจึงกล่าวทันทีว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดแต่งตั้งลูกหลานของข้า ให้ดำรงตำแหน่งอิมามนี้ด้วย พระเจ้าตรัสว่า สัญญาของฉัน (ตำแหน่งอิมาม) จะไม่รวมไปถึงพวกอธรรมเด็ดขาด หมายถึงบุคคลที่วิกลจริตจะไม่ได้เป็นอิมามแน่นอน

ประเด็นสำคัญ

จุดประสงค์ของ กะลิมาต หมายถึงอะไร

จุดประสงค์ของคำว่า กะลิมาต คือประโยคที่พระเจ้าทรงใช้ทดสอบอิบรอฮีม ด้วยสื่อและวิธีทดสอบที่แตกต่างกัน เป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่และหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง ที่พระเจ้าทรงมอบให้เป็นหน้าที่ของอิบรอฮีม ซึ่งท่านได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด พระบัญชาที่ทรงมีแก่อิบรอฮีมเพื่อทดสอบได้แก่ บัญชาให้นำบุตรชาย (ศาสดาอิสมาอีล) ไปยังสถานที่เชือดพลี และเตรียมตัวเชือดบุตรชายสุดที่รักของตนตามบัญชาของพระองค์ บัญชาให้อพยพครอบครัวไปยังถิ่นกันดารที่สุด ไม่มีต้นไม้ ไม่มีน้ำ ไม่มีพืช และไม่มีผู้คนอาศัยอยู่แม้แต่คนเดียว บัญชาให้ต่อสู้กับพวกบูชารูปปั้นแห่งบาบิโลน และทำลายรูปปั้นเหล่านั้น ท่านแสดงความกล้าหาญขณะที่ถูกพิพากษาและถูกพิพากษาโยนใส่กองไฟ ท่านมิได้แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ท่านได้แสดงให้เห็นถึงพลังศรัทธาที่มีอยู่ในตัวจนเป็นที่ประจักษ์ บัญชาให้อพยพออกจากแผ่นดินบูชารูปปั้น หันหลังให้กับชีวิตที่สะดวกสบาย ไปสู่ดินแดนที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่สาส์น และอื่น ๆ บัญชาที่พระเจ้าทรงมีแก่อิบรอฮีมล้วนเป็นบัญชาที่หนักอย่างยิ่ง และยากต่อการปฏิบัติตาม แต่อิบรอฮีมได้ปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ด้วยพลังศรัทธาที่มั่นคง และพันธะสัญญาที่มีต่อพระเจ้า ทั้งหมดเหล่านี้เป็นการพิสูจน์ถึงความเหมาะสมของอิบรอฮีม ที่มีต่อตำแหน่งอิมามัต

อิมามหมายถึงใคร

จากโองการสามารถกล่าวได้ ตำแหน่งอิมามที่พระเจ้าทรงมอบแก่อิบรอฮีม ภายหลังจากประสบความสำเร็จจากการถูกทดสอบแล้ว จะเห็นว่าเป็นตำแหน่งที่สูงส่งกว่าการเป็นศาสดา คำว่าอิมามัต มีความหมายแตกต่างกันดังนี้

1. อิมามัต หมายถึง หัวหน้า หรือผู้นำภารกิจทางโลก

2. อิมามัต หมายถึง ผู้นำเกี่ยวกับภารกิจทางโลกและทางธรรม

3. อิมามัต หมายถึง การทำให้ภารกิจของศาสนาสำเร็จลุล่วง ทั้งด้านการปกครองในความหมายที่กว้าง เช่น นำบทลงโทษตามหลักการอิสลามมาปฏิบัติ ปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลาม สร้างความดุลยภาพในสังคม อบรมสั่งสอนและขัดเกลาจิตวิญญาณทั้งภายนอกและภายใน ตำแหน่งอิมามัตไม่ว่าจะพิจารณาด้านใดก็ตาม สูงส่งกว่าตำแหน่งศาสดา เนื่องจากศาสดามีหน้าที่แจ้งข่าวที่มาจากพระเจ้า และตักเตือนประชาชาติ ส่วนอิมามัต นอกจากต้องปฏิบัติหน้าที่เดียวกันกับศาสดาแล้ว ยังต้องนำกฎการลงโทษตามหลักการอิสลามมาปฏิบัติ และอื่น ๆ ตามที่กล่าวมาแล้วอีกต่างหาก และเป็นที่ชัดเจนว่าบรรดาศาสดาหลายท่าน นอกจากได้รับตำแหน่งศาสดาแล้ว ยังได้รับตำแหน่งอิมามัตอีกต่างหาก

ในความเป็นจริงตำแหน่งอิมามัต คือตำแหน่งที่ทำให้เป้าหมายของศาสนาเป็นจริง และชี้นำแนวทางในความหมายของการนำไปถึงเป้าหมาย มิใช่การนำเสนอแนวทางเพียงอย่างเดียว ซึ่งครอบคลุมการชี้นำในลักษณะตักวีนียฺด้วย หมายถึง ส่งผลด้านใน ซึ่งจิตวิญญาณของอิมามมีอิทธิพลกับจิตใจมนุษย์ และชี้นำด้านจิตวิญญาณแก่พวกเขา

ไม่มีความคลางแคลงใจว่าจุดประสงค์ของอิมามในโองการที่กำลังกล่าวถึงหมายถึง อิมามัตในความหมายที่สาม เพราะว่ามีโองการมากมาย เมื่อกล่าวถึงอิมามัต แต่ให้ความเข้าใจในความหมายของการชี้นำ (ฮิดายะฮฺ) เช่น โองการที่ 24 บท อัซซัจดะฮฺ กล่าวว่า และเราได้แต่งตั้งพวกเขาให้เป็นอิมาม เพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องตามคำบัญชาของเรา ในเมื่อพวกเขามีความอดทน และพวกเขาเชื่อมั่นต่อสัญลักษณ์ทั้งหลายของเรา

การชี้นำในที่นี้ไม่ได้หมายถึง การนำเสนอแนวทาง เนื่องจากก่อนหน้านี้ท่านศาสดาอิบรอฮีม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสดา และเป็นศาสนทูตของพระองค์ และทำหน้าที่ชี้นำในความหมายของ การนำเสนอแนวทางอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ โองการยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตำแหน่งอิมามัต ที่อิบรอฮีม ได้รับแต่งตั้งหลังจากผ่านการทดสอบอย่างรุนแรง โดยตั้งอยู่บนความเชื่อมั่น ความกล้าหาญ และความอดทนอย่างสูง นอกเหนือไปจากตำแหน่งการชี้นำ ในความหมายของ การแจ้งข่าว การเผยแผ่ และการตักเตือน ฉะนั้น การชี้นำในความหมายของอิมามัต จึงหมายถึง การนำไปถึงเป้าหมาย การทำให้จิตวิญญาณของศาสนาเป็นจริง และการดำเนินการปกครองในบอบอิสลาม

ความแตกต่างระหว่างอิมามกับศาสดา

โองการและรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับมอบหมายหน้าที่จากพระเจ้า มีตำแหน่งแตกต่างกัน เช่น

1. ตำแหน่งนบูวัต หมายถึง การได้รับวะฮฺยู (โองการ) จากพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ บนี จึงหมายถึงบุคคลที่โองการได้ถูกประทานลงที่เขา

2. ตำแหน่งริซาละฮฺ หมายถึง ตำแหน่งในการประกาศเผยแผ่วะฮฺยู และบทบัญญัติต่าง ๆ ของพระเจ้า อบรมสั่งสอนไปตามหลักการที่ได้รับมาแก่ประชาชาติ ด้วยเหตุนี้ เราะซูล จึงหมายถึงบุคคลที่ มีหน้าที่ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากพระเจ้า เคียงคู่กับความเพียรพยายามในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม แนวความคิด และความเชื่อ

3. ตำแหน่งอิมามัต หมายถึง ผู้นำมวลมนุษยชาติ ได้แก่บุคคลที่พยายามจัดตั้งการปกครองในรูปแบบอิสลาม เพื่อนำหลักการอิสลามทั้งในเรื่องการลงโทษ และบทบัญญัติอื่น ๆ ของพระองค์มาปฏิบัติ

อีกนัยหนึ่ง หน้าที่ของอิมามคือ การนำบัญชาของพระเจ้ามาปฏิบัติใช้ในสังคม ส่วนนบีคือ ผู้แจ้งข่าวที่มาจากพระเจ้า หรือกล่าวได้ว่า เราะซูลคือผู้นำเสนอแนวทางแก่ประชาชาติ ส่วนอิมามคือผู้ชี้นำไปถึงยังเป้าหมาย อิมามคือผู้นำในทุกด้านทั้งศาสนจักร อาณาจักร ด้านร่างกายและจิตวิญญาณ ทั้งภายนอกและภายใน อิมามคือผู้นำการปกครอง ผู้นำสังคม ผู้นำศาสนา ผู้นำจิตวิญญาณ และผู้อบรมสั่งสอนศีลธรรมจรรยาแก่มนุษย์ชาติ

อิมามัต หรือความสมบูรณ์สุดท้ายของอิบรอฮีม

ตำแหน่งอิมามัต เป็นตำแหน่งที่สูงส่งกว่าการเป็นนบี และการเป็นเราะซูล ตำแหน่งดังกล่าวนี้ต้องการบุคคลที่มีความดีงามและมีความเหมาะสมที่สุดในทุก ๆ ด้าน ซึ่งอิบรอฮีม ได้แสดงให้เห็นว่าตนมีความเหมาะสมดังกล่าว ภายหลังจากการทดสอบอย่างรุนแรงจากพระเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นความสมบูรณ์สูงสุดของอิบรอฮีม

ซอลิม หมายถึงใคร

จุดประสงค์ของ การกดขี่ ในประโยคที่กล่าวว่า และสัญญาของฉันจะไปแผ่ไปถึงผู้อธรรม มิได้หมายถึง การอธรรมคนอื่นเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง การอธรรม (เมื่อยู่ต่อหน้าความยุติธรรม) ในที่มีความหมายครอบคลุมกว้าง อยู่ในจุดที่ตรงกันข้ามกับความยุติธรรม ในความหมายของ การจัดวางทุกสิ่งในที่ของมันที่มีความเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ การกดขี่ จึงหมายถึง บุคคล หรืองาน หรือการนำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปวางในที่ ๆ ไม่มีความเหมาะสม

อิมามัต หรือผู้นำทั้งภายนอกและภายในของมวลมนุษย์ เป็นตำแหน่งที่สูงส่ง มีความรับผิดชอบสูง และมีความยิ่งใหญ่ ถ้าหากพลั้งเผลอทำความผิด หรือฝ่าฝืนเพียงเล็กน้อยจะขาดคุณสมบัติการเป็นอิมามทันที ดังนั้น ถ้าหากพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะเห็นว่าไม่มีการกดขี่ใดจะเลวร้ายยิ่งไปกว่า การกดขี่ตนเองโดยการเคารพบูชารูปปั้น ศาสดาลูกมานแนะนำบุตรชายของท่านว่า โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใด ๆ ต่ออัลลอฮฺ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์ โดยแน่นอน (ลูกมาน 13)

ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่จิตวิญญาณของสกปรกกับเคารพบูชารูปปั้น เขาไม่มีสิทธิ์เป็นอิมามหรือผู้นำมวลผู้ศรัทธาแม้แต่นิดเดียว

อิมามได้รับการแต่งตั้งโดยพระเจ้า

จากโองการที่กล่าวมาสารมารถสรุปได้ว่า อิมาม ผู้นำมวลประชาชาติมีความบริสุทธิ์ในทุกด้าน ต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า เนื่องจาก

ประการแรก อิมามัตเป็นพันธะสัญญาประการหนึ่งจากพระเจ้า แน่นอนบุคคลเช่นนี้ ต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์คือผู้สัญญา

ประการที่สอง บุคคลที่ย้อมตนเองด้วยกลิ่นอายของการกดขี่ แน่นอนชีวิตของพวกเขาย่อมมีจุดดำแห่งการกดขี่ ไม่ว่าจะเป็นการกดขี่ตนเอง หรือกดขี่คนอื่น หรือเคยเคารพรูปปั้นแม้แต่ครั้งเดียว เขาไม่สามารถเป็นผู้นำได้เด็ดขาด ดังนั้น บุคคลที่เป็นอิมาม ตลอดทั้งชีวิตต้องมีความบริสุทธิ์ และการรู้จักบุคคลที่มีความบริสุทธิ์เช่นนี้ เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นไปได้

นอกจากพระเจ้าแล้วบุคคลอื่นรู้จักคุณสมบัติเหล่านี้ไหม

ผู้เขียนตัฟซีร อันมินาร เล่าจากคำพูดของอบีฮะนีฟะฮฺว่า เขาเชื่อว่าตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ เฉพาะเจาะจงอยู่เฉพาะตระกูลของอัลละวีย์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ บรรดาพวกปฏิวัติที่ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล มันซูร และอับบาซ ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาจึงไม่ยอมรับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาในสมัยการปกครองของเคาะลิฟะฮฺแห่งราชวงศ์อับบาซียฺ และกล่าวอีกว่า จะเห็นว่าบรรดาอิมามทั้งสี่ของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ไม่เห็นด้วยกับการปกครองของรัฐบาลในสมัยของตน และไม่ยอมรับว่าพวกนั้นมีความเหมาะสมในการเป็นผู้นำมวลมุสลิมแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากพวกเขากดขี่ข่มเหง

อัล-กุรอานหลังจากแนะนำตำแหน่งอิมามัตของอิบรอฮีม ซึ่งถือเป็นฐานันดรที่สูงส่งแล้ว ลำดับต่อไปกล่าวแนะนำถึงการสร้างบุคคลากร