@laravelPWA
คำอธิบายโองการที่ 120-121 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
  • ชื่อ: คำอธิบายโองการที่ 120-121 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 15:51:32 11-6-1404

 

คำอธิบายโองการที่ 120-121 จากบทอัลบะกอเราะฮ์

 

وَ لَن تَرْضى عَنك الْيهُودُ وَ لا النَّصرَى حَتى تَتَّبِعَ مِلَّتهُمْ قُلْ إِنَّ هُدَى اللَّهِ هُوَ الهُْدَى وَ لَئنِ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُم بَعْدَ الَّذِى جَاءَك مِنَ الْعِلْمِ مَا لَك مِنَ اللَّهِ مِن وَلىّ وَ لا نَصِير (120) الَّذِينَ ءَاتَيْنَهُمُ الْكِتَب يَتْلُونَهُ حَقَّ تِلاوَتِهِ أُولَئك يُؤْمِنُونَ بِهِ وَ مَن يَكْفُرْ بِهِ فَأُولَئك هُمُ الخَْسِرُونَ (121)

 

ความหมาย

120.พวกยิวและพวกคริสต์ จะไม่พอใจเจ้าเป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนา (ที่เปลี่ยนแปลงแล้ว) ของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงทางนำเฉพาะทางนำของอัลลอฮฺเท่านั้น แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามอารมณ์ของพวกเขา หลังจากที่สูเจ้ารู้แล้วว่า จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ สำหรับเจ้า

121 . บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขา (ยิว และคริสต์) พวกเขาตั้งใจอ่านคัมภีร์ และศรัทธาต่อศาสดา และผู้ใดปฏิเสธศาสดา แน่นอนพวกเขาคือผู้ขาดทุน

สาเหตุของการประทานโองการ

อิบนิอับบาซรายงานว่า พวกยิวที่มะดีนะฮฺ แนะคริสเคียนเผ่านัจรอน รอว่าท่านศาสดากับพวกเขาคงจะตกลงเรื่องกิบละฮฺกันได้ เมื่อพระเจ้าทรงมีบัญชาให้มุสลิมเปลี่ยนกิบละฮฺจากบัยตุลมุก็อดดัซ มาเป็นอัลกะอฺบะฮฺ พวกเขาหมดหวังจากท่านศาสดา และมีพวกเขาบางกลุ่มท้วงติงบรรดามุสลิม ในเชิงขอร้องว่าอย่าได้กระทำการใด ๆ อันเป็นสาเหตุทำให้พวกยิวและคริสเตียนต้องได้รับความเดือดร้อน เวลานั้นโองการได้ประทานลงมา และแจ้งกับท่านศาสดาว่า พวกยิวและคริสเตียนกลุ่มนี้ ไม่ต้องการตกลงกับเจ้าเรื่องกิบละฮฺ และพวกเขาจะไม่พอใจเจ้าเด็ดขาด จนกว่าเจ้าจะยอมรับศาสนาของพวกเขา

สาเหตุของการประทานที่สอง กล่าวคือ นักอรรถาธิบายอัล-กุรอานบางท่านเชื่อว่า โองการข้างต้นได้ประทานให้กับท่านญะอฺฟัร บุตรของอบีฏอลิบ และมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่อพยพไปยัง เอธิโอเปีย พร้อมกัน และอีกบางกลุ่มที่สมทบกับท่านที่นั่น พวกเขามีทั้งสิ้น 40 คน 32 คน เป็นคนเอธิโอเปีย และอีก 8 คน เป็นบาทหลวงจากซีเรีย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บาทหลวงบุฮัยรอ รอฮิบ ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี

นักวิชาการบางท่านเชื่อว่า โองการข้างต้นประทานให้กับยิวบางคนที่เข้ารับอิสลาม และเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงในเวลาต่อมา เช่น อับดุลลอฮฺ บุตรของ สลาม ซะอีด บุตรของ อุมัร และตะมาม บุตรของ ยะโฮดา

คำอธิบาย ความดึงดูดและความพึงพอใจของชนกลุ่มนี้เป็นไปไม่ได้

โองการก่อนหน้านี้ปฏิเสธความรับผิดชอบของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต่อบรรดาผู้ที่หลงทาง และปฏิเสธท่าน อัล-กุรอานโองการนี้ อธิบายเรื่องราวต่อจากโองการที่แล้วว่า มียิวและคริสเตียนกลุ่มหนึ่งที่ใฝ่หาสัจธรรม พวกเขาตอบรับคำเชิญชวนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และยอมรับอิสลาม อัล-กุรอานหลังจากประณามยิว และคริสเตียนกลุ่มก่อนหน้านี้ ได้สรรเสริญ และชื่นชมยิวและคริสเตียนที่ยอมรับอิสลาม กล่าวว่า บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขา (ยิว และคริสต์) พวกเขาตั้งใจอ่านคัมภีร์ และศรัทธาต่อศาสดา และผู้ใดปฏิเสธศาสดา แน่นอนพวกเขาคือผู้ขาดทุน

ประเด็นสำคัญ

1. คำถามเกี่ยวกับประโยคที่ว่า ถ้าเจ้าปฏิบัติตามอารมณ์ของพวกเขา

ถ้าพิจารณาถึงประเด็นที่ว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อยู่ในตำแหน่งของผู้บริสุทธิ์ (อิซมัต) ฉะนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร ที่ท่านปฏิบัติตามอารมณ์ของพวกดื้อรั้น และมีความเชื่อผิด ๆ การกล่าวทำนองนี้มีมากมายในอัล-กุรอาน ซึ่งมิได้ขัดแย้งกับความเป็นผู้บริสุทธิ์ของศาสดาแต่อย่างใด เนื่องจากว่าด้านหนึ่งเป็นประโยคเงื่อนไข (ชัรฏียะฮฺ) ซึ่งปกติแล้วประโยคที่เป็นเงื่อนไขมิใช่เหตุผลที่ทำให้เป็นเงื่อนไขแต่อย่างใด

อีกด้านหนึ่งความเป็นมะอฺซูม มิได้หมายความว่าความผิดจะเป็นไปไม่ได้สำหรับบรรดาศาสดา แต่ท่านศาสดาและบรรดาอิมามมีความสามารถกระทำความผิดได้ ประกอบกับเจตนารมณ์เสรีก็มิได้ถูกปฏิเสธไปจากพวกท่าน เพียงแต่ว่าพวกท่านสำรวมตนจากความผิด และความโสโครกทั้งหลายจึงอยู่ในฐานะของผู้บริสุทธิ์

อีกนัยหนึ่ง บรรดาศาสดาสามารถทำความผิดได้ แต่ความศรัทธา ความรู้ และความสำรวมตนของพวกท่านอยู่ในระดับขั้นที่ว่า ปกป้องท่านมิให้กระทำความผิด

อีกด้านหนึ่ง เมื่อพิจารณาจะเห็นว่าอัล-กุรอาน กล่าวกับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แต่ในความเป็นจริงจุดประสงค์คือประชาชนโดยทั่วไป

2. ทางนำเฉพาะทางนำของอัลลอฮฺเท่านั้น

โองการข้างต้นแสดงให้เห็นว่า กฎเกณฑ์ที่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ เฉพาะกฎเกณฑ์ และการชี้นำของพระเจ้าเท่านั้น เนื่องด้วยความรู้ของมนุษย์แม้ว่าจะมีความสมบูรณ์ แต่ก็ยังถือว่าถูกผสมด้วยความโง่เขลา ความคลางแคลง และความไม่ถูกต้องของสาเหตุต่าง ๆ ดังนั้น การชี้นำที่เกิดจากบุคคลที่มีความรู้บกพร่อง จะไม่ถือว่านั่นเป็นการชี้นำสมบูรณ์ บุคคลที่สามารถชี้นำมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ ต้องเป็นผู้มีความรู้สมบูรณ์ ปราศจากความโง่เขลา และความไม่ถูกต้อง ซึ่งมีเฉพาะพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

3. สิทธิในการอ่านหมายถึงอะไร

ถ้าหากพิจารณาประชาชนที่อยู่ต่อหน้าโองการข้างต้น สามารถแบ่งประชาชนออกเป็นกลุ่มได้ดังนี้ กล่าวคือ

บางกลุ่มเพียงแค่เน้นการออกเสียงพยัญชนะให้ถูกต้องบนฐานของการออกเสียง พวกเขาจึงครุ่นคิดอยู่กับการอ่านหยุด การอ่านเชื่อม และกฎการอ่านผสม คนกลุ่มนี้จะไม่ใส่ใจต่อเรื่องความหมาย หรือการอธิบายตลอดจนการปฏิบัติตามอัล-กุรอาน ซึ่งมิได้แตกต่างกับสัตว์ที่แบกสัมภาระไว้บนหลัง อัล-กุรอานกล่าวว่า อุปมาบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์เตารอต แล้วพวกเขามิได้ปฏิบัติตาม ที่พวกเขาได้รับมอบประหนึ่ง เช่นกับลาที่แบกหนังสือจำนวนหนึ่ง (บนหลังของมัน) อุปมาหมู่ชนที่ปฏิเสธต่อสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮฺมันช่างชั่วช้าจริง ๆ และอัลลอฮฺจะไม่ชี้แนะทางแก่หมู่ชนผู้อธรรม (ญุมุอะฮฺ 5)

บางกลุ่มใส่ใจในความหมายของโองการ ใคร่ครวญในประเด็นที่ละเอียดอ่อนของโองการ มีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ต่าง ๆ แต่ไม่ปฏิบัติ

บางกลุ่มเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง ถือว่าอัล-กุรอานคือธรรมนูญสูงสุดสำหรับการดำเนินชีวิต เป็นคัมภีร์แห่งการปฏิบัติ พวกเขาอ่านคำพูด และพิจารณาความหมาย และยึดถือคัมภีร์เป็นปฐมบทสำหรับการกระทำ ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาอ่านอัล-กุรอาน เขาจะพบกับจิตวิญญาณใหม่ การตัดสินใจของจะใหม่เสมอ มีการเตรียมพร้อมสำหรับการกระทำใหม่ ๆ และนี่คือความหมายของ สิทธิในการอ่าน

อิมามซอดิก (อ.) อธิบายโองการดังกล่าวว่า สิทธิในการอ่าน ไม่ได้หมายถึงการท่องจำโองการ การเรียนรู้เรื่องคำ หรือการอ่านตามหลักตัจวีด (หลักการอ่านอัล-กุรอาน) รายงานกล่าวว่า บุคคลที่รักษาสิทธิ์ในการอ่านได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดได้แก่ บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์แห่งครอบครัวของท่านศาสดาเท่านั้น

จุดประสงค์คือ ใคร่ครวญโองการต่าง ๆ และปฏิบัติตามบทบัญญัติของอัล-กุรอาน พระเจ้าตรัสว่า เราได้ประทานคัมภีร์ที่มากด้วยความจำเริญแก่เจ้า เพื่อให้พวกเจ้าคิดใคร่ครวญ