คำอธิบาย โองการที่ 67,68,69,70,71,72,73,74 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
  • ชื่อ: คำอธิบาย โองการที่ 67,68,69,70,71,72,73,74 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 6:28:30 26-9-1404

 คำอธิบาย โองการที่ 67,68,69,70,71,72,73,74 จากบทอัลบะกอเราะฮ์

 

وَ إِذْ قَالَ مُوسى لِقَوْمِهِ إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُكُمْ أَن تَذْبحُوا بَقَرَةً قَالُوا أَ تَتَّخِذُنَا هُزُواً قَالَ أَعُوذُ بِاللَّهِ أَنْ أَكُونَ مِنَ الجَْهِلِينَ (67) قَالُوا ادْعُ لَنَا رَبَّك يُبَين لَّنَا مَا هِىَ قَالَ إِنَّهُ يَقُولُ إِنهَا بَقَرَةٌ لا فَارِضٌ وَ لا بِكْرٌ عَوَانُ بَينَ ذَلِك فَافْعَلُوا مَا تُؤْمَرُونَ (68) قَالُوا ادْعُ لَنَا رَبَّك يُبَين لَّنَا مَا لَوْنُهَا قَالَ إِنَّهُ يَقُولُ إِنهَا بَقَرَةٌ صفْرَاءُ فَاقِعٌ لَّوْنُهَا تَسرُّ النَّظِرِينَ (69) قَالُوا ادْعُ لَنَا رَبَّك يُبَين لَّنَا مَا هِىَ إِنَّ الْبَقَرَ تَشبَهَ عَلَيْنَا وَ إِنَّا إِن شاءَ اللَّهُ لَمُهْتَدُونَ (70) قَالَ إِنَّهُ يَقُولُ إِنهَا بَقَرَةٌ لا ذَلُولٌ تُثِيرُ الأَرْض وَ لا تَسقِى الحَْرْث مُسلَّمَةٌ لا شِيَةَ فِيهَا قَالُوا الْئََنَ جِئْت بِالْحَقِّ فَذَبحُوهَا وَ مَا كادُوا يَفْعَلُونَ (71) وَ إِذْ قَتَلْتُمْ نَفْساً فَادَّرَأْتُمْ فِيهَا وَ اللَّهُ مخْرِجٌ مَّا كُنتُمْ تَكْتُمُونَ (72) فَقُلْنَا اضرِبُوهُ بِبَعْضِهَا كَذَلِك يُحْىِ اللَّهُ الْمَوْتى وَ يُرِيكمْ ءَايَتِهِ لَعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ (73) ثُمَّ قَسَتْ قُلُوبُكُم مِّن بَعْدِ ذَلِكَ فَهِيَ كَالْحِجَارَةِ أَوْ أَشَدُّ قَسْوَةً وَإِنَّ مِنَ الْحِجَارَةِ لَمَا يَتَفَجَّرُ مِنْهُ الأَنْهَارُ وَإِنَّ مِنْهَا لَمَا يَشَّقَّقُ فَيَخْرُجُ مِنْهُ الْمَاء وَإِنَّ مِنْهَا لَمَا يَهْبِطُ مِنْ خَشْيَةِ اللّهِ وَمَا اللّهُ بِغَافِلٍ عَمَّا تَعْمَلُونَ(74)
إِنَّ مِنه

ความหมาย

 

67. และจงรำลึกถึง เมื่อมูซาได้กล่าวแก่ประชาชนของเขาว่า แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงบัญชาแก่พวกท่านให้เชือดวัวตัวเมียตัวหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า ท่านเอาพวกเราเป็นที่ล้อเล่นกระนั้นหรือ มูซากล่าวว่า ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากการที่ฉันจะอยู่ในหมู่ผู้โฉดเขลา

68 . พวกเขากล่าวว่า จงร้องขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านเพื่อพวกเรา ให้พระองค์อธิบายแก่เราว่า วัวตัวเมียเป็นอย่างไร มูซากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ตรัสว่า แน่แท้มันเป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่และไม่อ่อน อยู่ในวัยกลางระหว่างนั้น ดังนั้น จงปฏิบัติตามสิ่งที่พวกท่านถูกบัญชาเถิด

69 . พวกเขากล่าวว่า จงร้องขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านเพื่อพวกเรา ให้พระองค์อธิบายแก่เราว่า วัวมีสีอะไร มูซากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ตรัสว่า มันเป็นวัวสีเหลืองแก่ สีของมันเข้ม เป็นที่ปลื้มใจแก่ผู้พบเห็น

70 . พวกเขากล่าวว่า จงร้องขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านเพื่อพวกเรา ให้พระองค์อธิบายแก่เราว่า วัวเป็นเช่นไร เนื่องจากวัวเป็นที่สงสัยแก่พวกเรา และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเราจะได้รับทางนำแน่นอน

71 . มูซากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ตรัสว่า มันเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถให้ไถดิน และไม่เคยถูกให้ทดน้ำเข้านา สมบูรณ์ ปราศจากตำหนิ ไม่มีสีอื่นใดแซมในตัวมัน พวกเขากล่าวว่า บัดนี้ท่านได้นำความจริงมาให้แล้ว แล้วพวกเขาได้เชือดมัน ทั้งที่พวกเขาไม่อยากกระทำ

72 . และจงรำลึกถึง เมื่อสูเจ้าฆ่าคนคนหนึ่ง หลังจากนั้นเกี่ยวกับ (ผู้ฆ่า) เขาสูเจ้าซัดทอดกัน และอัลลอฮฺ ทรงเปิดเผยสิ่งที่สูเจ้าปิดบังไว้

73 . ดังนั้น เรากล่าวว่า พวกเจ้าจงบางส่วนของวัวฟาดลงบนผู้ถูกฆ่า (จะได้ฟื้นเพื่อชี้ผู้ฆ่า) ในทำนองนั้น อัลลอฮฺทรงทำให้ผู้ตายมีชีวิต และทรงแสดงสัญญาณต่าง ๆ ของพระองค์แก่สูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้เข้าใจ

74. แล้วหลังจากนั้น หัวใจของสูเจ้าก็แข็งกระด้าง เป็นประหนึ่งหิน หรือแข็งกระด้างยิ่งกว่า เนื่องจากในหมู่หินนั้นจะแตกออก และมีธารน้ำพวยพุ่งออกมา และแท้จริงในหมู่หินนั้นเมื่อแตกออก แล้วมีน้ำไหลออกจากมัน และแท้จริงในหมู่หินนั้นมีส่วนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮฺ (แต่หัวใจของมนุษย์ไม่เคยสลายเพราะความเกรงกลัว ไม่เคยให้ความรู้และความรัก และไม่เคยมีน้ำใจแก่เพื่อนมนุษย์) และอัลลอฮฺไม่ทรงเฉยเมยในสิ่งที่สูเจ้ากระทำ

คำอธิบาย เรื่องราวเกี่ยวกับวัวของบนีอิสรออีล

นับจากโองการนี้เป็นต้นไป เรื่องราวของพวกบนีอิสรออีลจะแตกต่างจากโองการที่กล่าวผ่านมา ซึ่งที่ผ่านมาได้อธิบายในเชิงสรุป แต่โองการนี้จะอธิบายรายละเอียดพร้อมกับประเด็นที่เป็นบทเรียนมากมาย เช่น บรรดาพวกบนีอิสรออีลที่ชอบหาข้ออ้างทั้งหลาย ได้ปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา และจากคำพูดของมูซาทำให้รู้ถึงระดับความศรัทธาของพวกเขา และสำคัญที่สุดคือ เหตุผลที่ยืนยันถึงความเป็นไปได้ของวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และเรื่องราวที่อัล-กุรอานสาธยายไว้กล่าวคือ มีวงศ์วานอิสรออีลคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าฆ่าคน ทั้ง ๆ ที่คนฆ่าไม่เป็นที่รู้แน่ชัดว่าเป็นใคร

ชนเผ่าต่าง ๆ พวกบนีอิสรออีลทะเลาะวิวาทกัน ซัดทอดกันจนวุ่นวายไปหมด ในที่สุดได้ไปหามูซา (อ.) เพื่อให้ตัดสิน ท่านศาสดาได้วิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และด้วยอภินิหารปัญหาได้ยุติลงตามคำสาธยายของโองการ แต่เป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ของพวกเขา

รอฆิบ เอซฟาฮานียฺ กล่าวว่าคำว่า ฟาริฎุน หมายถึง วัวแก่ แต่นักอรรถาธิบายบางท่านกล่าวว่า เป็นวัวที่เพิ่งจะย่างเข้าสู่วัยแก่ และไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไป คำว่า อะวานุน หมายถึง ระหว่างกลางของอายุไม่อ่อนหรือแก่เกินไป

ประโยคที่กล่าวว่า จงร้องขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน การร้องขอของพวกเขาได้กระทำหลายครั้งติดต่อกัน ถือเป็นการกลั่นแกล้ง หรือการเย้ยหยันอย่างหนึ่ง ประหนึ่งพวกเขาต้องการแยกพระเจ้าของมูซากับพระเจ้าของพวกเขาออกจากกัน อย่างไรก็ตาม มูซา (อ.) ตอบพวกเขาว่า พระเจ้าตรัสว่า แน่แท้มันเป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่และไม่อ่อน อยู่ในวัยกลางระหว่างนั้น

แต่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาระเริงมากจนเกินไป หรือไม่ต้องการให้พวกเขาเย้ยหยันมากไปกว่านี้ มูซามิได้ปล่อยให้ล่าช้า ได้กล่าวตัดบทอย่างฉับพลันว่า จงปฏิบัติตามสิ่งที่พวกท่านถูกบัญชาเถิด

คำว่า ฟากิอุน หมายถึง สีเหลืองแก่ บริสุทธิ์ไม่มีสีใดแซม หรือเจือปน

แต่นิสัยของพวกบนีอิสรออีล เป็นชนที่ชอบดูถูก และชอบเย้ยหยันคนอื่น พวกเขาไม่ยอมจบสิ้นยังคงแสดงความเย้ยหยันต่อไป พวกเขากล่าวว่า จงร้องขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านเพื่อพวกเรา ให้พระองค์อธิบายแก่เราว่า วัวมีสีอะไร มูซากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ตรัสว่า มันเป็นวัวสีเหลืองแก่ สีของมันเข้ม เป็นที่ปลื้มใจแก่ผู้พบเห็น

แน่นอนวัวที่พระเจ้าทรงประสงค์มีความสวยงาม สีสันของมันฉุดฉาดสะดุดตาผู้พบเห็น แต่สิ่งที่ประหลาดไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่ยอมยุติข้ออ้างและการล้อเลียน ยังคงหาข้ออ้างอื่น ๆ มากลั่นแกล้งมูซาให้หนักใจ และเบื่อหน่าย มูซาพยายามจำกัดขอบเขตของวัวให้แคบลงแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมปฏิบัติตาม

พวกเขาหาข้ออ้างมาอีกว่า จงร้องขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านเพื่อพวกเรา ให้พระองค์อธิบายแก่เราว่า วัวเป็นเช่นไร เนื่องจากวัวเป็นที่สงสัยแก่พวกเรา และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเราจะได้รับทางนำแน่นอน

มูซาแสดงความใจเย็นต่อความอคติ และความโง่เขลาของพวกเขา ท่านตอบว่า แท้จริงพระองค์ตรัสว่า มันเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถให้ไถดิน และไม่เคยถูกให้ทดน้ำเข้านา สมบูรณ์ ปราศจากตำหนิ ไม่มีสีอื่นใดแซมในตัวมัน

พอถึงจุดนี้ ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอันใดมาอ้างอีก พวกเขากล่าวว่า บัดนี้ท่านได้นำความจริงมาให้แล้ว แล้วพวกเขาได้เชือดมัน ทั้งที่พวกเขาไม่อยากกระทำ

อัล-กุรอานหลังจากกล่าวถึงความอคติ และการเย้ยหยันของพวกเขาแล้ว ได้กล่าวถึงความเป็นคนมีจิตใจที่หยาบกระด้าง และนิสัยที่หยาบคายของพวกเขาว่า และจงรำลึกถึง เมื่อสูเจ้าฆ่าคนคนหนึ่ง หลังจากนั้นเกี่ยวกับ (ผู้ฆ่า) เขาสูเจ้าซัดทอดกัน และอัลลอฮฺ ทรงเปิดเผยสิ่งที่สูเจ้าปิดบังไว้

หลังจากนั้น เรากล่าวว่า พวกเจ้าจงบางส่วนของวัวฟาดลงบนผู้ถูกฆ่าจะได้ฟื้นขึ้นมาเพื่อชี้ตัวผู้ฆ่า ในทำนองนั้น อัลลอฮฺทรงทำให้ผู้ตายมีชีวิต และทรงแสดงสัญญาณต่าง ๆ ของพระองค์แก่สูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้เข้าใจ

โองการสุดท้ายกล่าวถึง จิตใจที่แข็งกระด้าง ของพวกเขาว่า หัวใจของสูเจ้าก็แข็งกระด้าง เป็นประหนึ่งหิน หรือแข็งกระด้างยิ่งกว่า เนื่องจากในหมู่หินนั้นจะแตกออก และมีธารน้ำพวยพุ่งออกมา และแท้จริงในหมู่หินนั้นเมื่อแตกออก แล้วมีน้ำไหลออกจากมัน และแท้จริงในหมู่หินนั้นมีส่วนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮฺ แต่หัวใจของมนุษย์ไม่เคยสลายเพราะความเกรงกลัว ไม่เคยให้ความรู้และความรัก และไม่เคยมีหยาดน้ำใจแก่เพื่อนมนุษย์ หัวใจประเภทนี้ไม่มีคุณค่าอันใด พระองค์จึงเปรียบหัวใจที่แข็งกระด้างว่าเหมือนกับก้อนหินที่ไร้ชีวิต ทว่าร้ายกาจยิ่งกว่า เนื่องจากหินที่จัดว่าแข็งแล้ว เมื่อมีน้ำเซาะ หรือหยดน้ำตกลงบนมัน มันยังกร่อน ยังร้าว หรือบางครั้งก็ละลายลงเนื่องจากความเกรงกลัว แต่หัวใจที่แข็งกระด้างไม่มีท่าทีว่าจะสั่นสะท้าน หรือเกรงกลัว

ประโยคสุดท้าย กล่าวว่า และอัลลอฮฺไม่ทรงเฉยเมยในสิ่งที่สูเจ้ากระทำ เป็นประโยคที่ใช้บำราบ ในเชิงของการคาดโทษ สำหรับพวกบนีอิสรออีล และทุกคนที่ทำตนเยี่ยงพวกเขา หรือเจริญรอยตามแนวทางของพวกเขา

ประเด็นสำคัญ

คำถามมากมายที่ไร้ประโยชน์

แน่นอนว่าคำถามได้ถูกถามขึ้นเพื่อ ขจัดข้อสงสัยหรือความโง่เขลาที่ไม่รู้ แต่ถ้าสิ่งนั้นเกินขอบเขต หรือถามไม่ตรงประเด็น หรือถามเพื่ออวดคนอื่นว่าตนมีข้อมูล หรือถามให้บุคคลอื่นไขว่เขวออกไปจากความจริง ดังที่ได้เห็นจากเรื่องราวของพวกบนีอิสรออีล พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขาเชือดวัว หน้าที่ของพวกเขาคือ การปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ แต่พวกเขากลับแสดงความไม่สนใจ และเริ่มตั้งคำถามต่าง ๆ เพื่อเป็นข้ออ้างจะได้หลีกเลี่ยงไม่ต้องปฏิบัติตามคำบัญชา แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมเชือดวัว ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากทำสิ่งนั้น ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า พวกเขารู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดี และทุกครั้งที่เขาถามพระเจ้าทรงกำหนดหน้าที่ของเขาให้ยากขึ้น ด้วยเหตุนี้ รายงานจากท่านอิมาม อะลี ริฎอ (อ.) กล่าวว่า ถ้าหากพวกเขา ปฏิบัติตามคำบัญชาตั้งแต่แรก โดยเลือกวัวมาตัวหนึ่ง แล้วเชือดพลีทุกอย่างก็จบลงแล้ว แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเรื่องมาก พระเจ้าจึงกำหนดหน้าที่ของเขาให้ยากขึ้นตามลำดับ

คุณสมบัติวัวทั้งหมดถูกกำหนดมาเพื่ออะไร

คุณสมบัติของวัวที่กล่าวถึง เป็นการบ่งชี้ถึง แก่นแท้ของสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่ ซึ่งสิงนั้นคือ การยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไข ทำนองเดียวกันการดำรงชีวิตของมนุษย์ไม่ควรเลือกสีสันให้หลากหลายมากจนเกินไป ทว่าเพียงแค่สีที่มีความบริสุทธิ์เพื่อพระเจ้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เช่นกัน ทรัพย์สินสฤงคารต่าง ตลอดจนความยากจน ความร่ำรวย อำนาจ มารมี และลาภยศสรรเสริญอื่น ๆ ต้องไม่มีอิทธิพลกับชีวิตและจิตใจ ดังนั้น บุคคลที่มีพระเจ้าอยู่ในใจ เขาจะยืนหยัดอยู่กับการยอมรับพระเจ้า และสัจธรรมเท่านั้น

เจตนารมณ์ในการฆ่าคืออะไร

ประวัติศาสตร์ และหนังสืออธิบายอัล-กุรอาน กล่าวถึงอุดมการณ์ของการสังหารในหมู่บนีอิสรออีลคือ ทรัพย์สิน หรือเรื่องการแต่งงาน เนื่องจากมีบนีอิสรออีลคนหนึ่งมีฐานะร่ำรวย เขามีทรัพย์สินมากมาย แต่ไม่มีทายาทรับมรดก มีเพียงลูกชายของอาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาเป็นคนมีอายุยืน ซึ่งหลานชายต้องการคอบครองมรดกของเขา จึงวางแผนลอบสังหาร และนำศพไปทิ้งระหว่างทาง

บางที่โองการต้องการบ่งชี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วแหล่งที่มาของความชั่วร้าย การเข่นฆ่า และการก่ออาชญากรรมอื่น ๆ มีอยู่ 2 ประเด็นกล่าวคือ การแก่งแย่งทรัพย์สิน กับความเสรีทางเพศ

ประเด็นบทเรียนเรื่องราวของบนีอิสรออีล

เป็นที่ประจักษ์ว่า อำนาจที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระผู้อภิบาลควบคุมเหนือทุกสรรพสิ่ง เป็นเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับปัญหาเรื่องการฟื้นคืนชีพ และเป็นการแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากพระผู้เป็นเจ้าทรงโกรกริ้วประชาชาติใดแล้ว ย่อมเป็นไปตามเหตุผลมิใช่ด้วยอำนาจที่พระองค์ทรงมี กิริยาของพวกบนีอิสรออีลแสดงต่อหน้ามูซา (อ.) เป็นการบ่งบอกถึงอุปนิสัย และสันดานที่ต่ำทราม ไร้มารยาทของพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าศาสดา หรือเมื่อย้อนกลับไปยังพระเจ้าผู้เป็นของอำนาจแต่เพียงพระองค์เดียว ฉะนั้น ถ้ามนุษย์มิใช่ผู้วุ่นวาย หรือเรื่องมากก่อน พระเจ้าก็มิทรงบัญชาสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเขา