อิทธิพลของอาชูรอที่มีต่อการปฏิวัติและการตื่นตัวในโลกอิสลาม ตอนที่ 4
การต่อสู้กับความอธรรมและการกดขี่ของบรรดาผู้ปกครองที่ชั่วร้าย แม้จะมีกำลังจำนวนน้อยนิดและมีปัจจัยอำนวยความสะดวกที่ไม่มากก็ตาม แต่ทว่าด้วยกับความศรัทธาที่แข็งแกร่งและการพึ่งพิงต่อการช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้าและพลังแห่งศรัทธาและจิตวิญญาณในการพลีชีพ (ชะฮาดัต) ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า มันคือบทเรียนหนึ่งซึ่งนับจากช่วงเวลาอันไกลโพ้นที่บรรดานักต่อสู้ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้าได้รับมาจากการขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ เช่นเดียวกับการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งประชาชนไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปจากลัทธิเผด็จการและลัทธิล่าอาณานิคมพวกเขา จึงได้ออกมาสู่สนามด้วยมือเปล่า แต่ทว่าด้วยกับอาวุธแห่งศรัทธา (อีหม่าน) และความเชื่อมั่นในการช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นเผชิญหน้ากับรัฐบาลในเครือข่ายของมหาอำนาจที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางสงครามที่ทันสมัยที่สุดอยู่ในมือ และด้วยกับการเปล่งคำขวัญ "อัลลอฮุอักบัร" และด้วยจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความเป็นชะฮีด (พลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) นั่นเองที่พวกเขาได้รีบเร่งออกไปต่อสู้กับบรรดาสมุนของมหาอำนาจโดยไม่หวั่นกลัวต่อความตาย พวกเขาได้ต่อสู้กับมือแห่งความอธรรมและได้ขับไล่บรรดาผู้ปกครองเผด็จการและบรรดาผู้ปล้นสะดมของนักล่าอาณานิคมออกไปจากประเทศได้สำเร็จ และขณะนี้เราจะเห็นได้ว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ และด้วยกับการปฏิบัติตามการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน พวกเขาก็กำลังย่างก้าวไปในเส้นทางเดียวกันนั้นเพื่อที่จะโค่นล้มรัฐบาลที่กดขี่และเป็นเผด็จการทั้งหลาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วได้รับอิทธิพลมาจากการปฏิวัติแห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั่นเอง
ในการยืนหยัดต่อสู้ของบรรดามุสลิมในภูมิภาคตะวันออกกลางนั้น เราจะเห็นได้ว่าเมื่อบรรดาเยาวชนและประชาชนผู้เป็นเสรีชนชาวตูนิเซีย อียิปต์และลิเบีย ไม่อาจอดทนต่อการกดขี่ของรัฐบาลและทรราชแห่งยุคสมัยของตน พวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นต่อสู้กับทรราชแห่งยุคสมัยเหล่านั้นด้วยมือเปล่า แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งอิสลามและความมุ่งหวังในการเป็นชะฮีด (พลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) และสามารถโค่นล้มทรราชเหล่านั้นลงได้ ทำให้การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขากลายเป็นแบบอย่างสำหรับการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชนในประเทศอื่นๆ แม้แต่ในยุโรปและอเมริกา ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงคัดค้านในวอลสตรีทก็เช่นกัน พวกเขาถือว่าการยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขานั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากจัตุรัส ”อัตตะห์รีร” (แห่งอียิปต์) และพวกเขาได้กู่ก้องร้องตะโกนและกล่าวซ้ำคำขวัญแบบเดียวกัน
การเน้นย้ำของบรรดาผู้ประท้วงในวอลสตรีทถึงประเด็นที่ว่า พวกเขาได้ยึดถือแบบอย่างมาจากจัตุรัสอัตตะห์รีรและใช้คำขวัญ (สโลแกน) ต่างๆ แบบเดียวกับที่ประชาชนในจัตุรัสอัตตะห์รีรได้เปล่งตะโกนนั้น เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการรับอิทธิพลและแบบอย่างจากขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ แห่งอิสลาม ซึ่งแหล่งที่มาของมันนั้นสามารถค้นหาได้ในขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) มันคือการยืนหยัดต่อสู้ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะสำหรับชาวชีอะฮ์หรือบรรดามุสลิมเพียงเท่านั้น แต่มันคือแบบอย่างสำหรับบรรดาเสรีชนในโลกทั้งมวล
สามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิว่า การยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอคือประทีปที่ส่องสว่างสำหรับชาวชีอะฮ์และบรรดามุสลิมทั้งมวล และเป็นต้นแบบสำหรับการยืนหยัดต่อสู้ของบรรดาผู้เรียกร้องหาเสรีภาพในโลกทั้งมวล
ด้วยอิทธิพลต่างๆ ของการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอที่มีผลกระทบต่อขบวนการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชาติทั้งหลายนั้น สามารถชี้ให้เห็นถึงความหวังในการย้อนกลับคืนมาของอัตลักษณ์แห่งอิสลามของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้เป็นอย่างดี ท่านอัลลามะฮ์ชะฮีด ซัยยิดฮะซัน ชีราซี ได้กล่าวว่า "ท่านอิมามฮุสเซน (อ.) สามารถแยกแยะอำนาจการปกครอง (คิลาฟะฮ์) ที่เบี่ยงเบนออกไปจากอิสลามได้สำเร็จ และได้กระชากหน้ากากและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของบนีอุมัยยะฮ์ จนกระทั่งทำให้ประชาชนได้เข้าใจว่าอำนาจการปกครอง (คิลาฟะฮ์) ของบนีอุมัยยะฮ์นั้นคือการปกครองแบบญาฮิลียะฮ์ (สภาพความงมงายของอาหรับก่อนการมาของอิสลาม) ที่สวมเสื้อคลุมแห่งอิสลามนั่นเอง ด้วยวิธีดังกล่าวทำให้ประชาชนได้ประจักษ์ว่าระบบการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ก็คือการปกครองที่กดขี่อย่างหนึ่งซึ่งไม่มีส่วนสัมพันธ์ใดๆ ต่ออิสลามเลย ด้วยผลแห่งการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นี่เองที่ทำให้เนื้อแท้ของบรรดาผู้ปกครองทั้งหมดภายหลังจากท่านอิมาม (อ.) และยิ่งไปกว่านั้นเนื้อแท้ของบรรดาผู้ปกครอง (คอลีฟะฮ์) ก่อนหน้าท่านก็ได้ถูกเปิดเผย และด้วยเหตุนี้เองบรรดาผู้ปกครอง (คอลีฟะฮ์) คนอื่นๆ จากราชวงศ์อุมัยยะฮ์ อับบาซียะฮ์และอุสมานียะฮ์ จึงไม่สามารถกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมของตนเองในนามของอิสลามได้อีก”
ในขณะนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ ทั้งๆ ที่มีความเบี่ยงเบนออกจากอิสลามอย่างมากมายปรากฏให้เห็นทั้งในภาครัฐและในหมู่ผู้ปกครองของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงกล่าวอ้างว่าเป็นการดำเนินบทบัญญัติแห่งอิสลาม แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันใช่เช่นนั้นหรือไม่? บรรดาผู้ปกครองที่ตั้งฉายาตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแห่ง (คอดิมุลฮะร่อมัยน์) แต่กลับกระทำการต่างๆ ที่เป็นการทรยศต่ออิสลามและชาวมุสลิมอย่างมากมาย บรรดาผู้ปกครองที่กระทำสิ่งที่ขัดแย้งต่อบทบัญญัตินับเป็นพันๆ เรื่องด้วยชื่อของอิสลาม ยะซีดเองก็เรียกตัวเองว่าอะมีรุลมุอ์มินีน (ผู้นำของปวงศรัทธาชน) แต่การกระทำต่างๆ ของเขาไม่ได้มีสัญลักษณ์ใดๆ ของอิสลามปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย และท่านอิมามฮุเซน (อ.) ก็ได้ยืนหยัดขึ้นเพื่อพิทักษ์ปกป้องศาสนาของท่านศาสดามุฮัมมัด มุสฏอฟา (ซ็อลฯ) ให้ดำรงอยู่ต่อไป อันเป็นศาสนาซึ่งถือว่าการยอมก้มหัวให้กับสิ่งอื่นจากพระผู้เป็นเจ้านั้นคือการตั้งภาคี ทำนองเดียวกับที่อิสลามได้ห้ามบรรดาผู้ปกครองจากการกดขี่และการล่วงละเมิดต่อประชาชน อิสลามถือว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นั้นคือสิ่งที่จำเป็นต้องหวงแหนและต้องได้รับการพิทักษ์รักษาไว้เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
ประชาชนในภูมิภาคตะวันออกกลางได้เห็นแล้วว่า บรรดาผู้ปกครองของพวกเขาได้ยอมสยบต่อความต้องการของบรรดามหาอำนาจของโลกและบรรดารัฐบาลที่อธรรมอย่างเช่นรัฐบาลไซออนิสต์อย่างไร และได้นำเอาเกียรติศักดิ์ศรีของประชาชนของตัวเองไปขึ้นเขียงของของบรรดามหาอำนาจเหล่านี้อย่างไร จึงทำให้พวกเขาต้องยืนหยัดขึ้นด้วยการยึดถือเอาแบบอย่างจากการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ด้วยการหยุดยั้งการถดถอยของคุณค่าต่างๆ แห่งอิสลาม และการสถาปนารัฐบนพื้นฐานของอิสลามที่แท้จริงขึ้น เพื่อนำเอาอัตลักษณ์ของศาสนาและของอิสลามของตนเองกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง และพวกเขาได้โค่นล้มบรรดาผู้ปกครองที่เป็นทาสรับใช้ชาวต่างชาติลงทีละคนๆ วันนี้ประชาชนมุสลิมของอียิปต์และที่อื่นๆ เมื่อได้เห็นชาวปาเลสไตน์เกลือกกลิ้งอยู่ในกองเลือด และได้เห็นกำแพงที่ขวางกันระหว่างพวกเขากับปาเลสไตน์ซึ่งทำให้เกียรติและความภาคภูมิใจของพวกเขาต้องถูกทำลายลง สภาพดังกล่าวนี้สำหรับชาวอียิปต์และประเทศอาหรับอื่นๆ นั้น มันคือความภาคภูมิที่ถูกทำลาย และจุดนี้เองพวกเขาจึงได้แสดงตัวตนออกมาในรูปของขบวนการตื่นตัวแห่งอิสลาม