อิทธิพลของอาชูรอที่มีต่อการปฏิวัติและการตื่นตัวในโลกอิสลาม ตอนที่ 3
การปฏิวัติและโมเดลการปกครองแบบอิสลามที่ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้วางรากฐานไว้นั้น มีรากฐานที่มาจากวัฒนธรรมและคำสอนดังเดิมต่างๆ ของอิสลามที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งการดำเนินชีวิตของชาวมุสลิม และยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นของมวลมนุษยชาติ ในบรรดาฮะดีษ (วจนะ) และชีวประวัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) และและบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของขบวนการปฏิวัติและการยืนหยัดต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพและการปลดปล่อยทั้งหลายที่เกิดขึ้นหลังจากปี ฮ.ศ.ที่ 60 นั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลมาจากการปฏิวัติในแผ่นดินกัรบาลาทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น การปฏิวัติต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมในประเทศอินเดียภายใต้การนำของมหาตะมะคานธี ซึ่งตัวท่านมหาตะมะคานธีได้ยอมรับในข้อเท็จจริงนี้เองที่ว่า ท่านได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งการต่อสู้และหนทางสู่อิสรภาพจากท่านอิมามฮุเซน (อ.) และขบวนการยืนหยัดต่อสู้ของท่าน ด้วยเหตุนี้เอง ขบวนการเคลื่อนไหวและการตื่นตัวของอิสลามที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่านในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาและนำไปสู่การสถาปนารัฐอิสลาม ซึ่งในปัจจุบันกำลังก่อตัวขึ้นทั่วกลุ่มประเทศอาหรับและโลกอิสลาม และมีรากฐานที่มาจากวัฒนธรรมคำสอนของอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอ และบรรดาผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และเรียนรู้การยืนหยัดต่อสู้กับความอธรรมและการกดขี่จากการปฏิวัติแห่งอาชูรอและอิมามฮุเซน (อ.) ผู้นำของบรรดาเสรีชนแห่งโลก
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) อยู่ในช่วงยุคสมัยที่ผู้อธรรมและกดขี่คนหนึ่งได้คุมชะตากรรมต่างๆ ของสังคมอิสลามไว้ในอำนาจและการปกครองของเขา และเรียกตัวเองว่าผู้ปกครองและเป็นค่อลีฟะฮ์ของปวงชนมุสลิม และได้ปกครองไปตามความต้องการของอารมณ์ฝ่ายต่ำและความใคร่ของตน โดยไม่คำนึงถึงหลักการและบทบัญญัติต่างๆ ของศาสนาและแบบฉบับ (ซุนนะฮ์) ของท่านศาสทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) อีกทั้งได้สร้างอุตริกรรม (บิดอะฮ์) จำนวนมากมายขึ้น เขาพยายามที่จะบีบบังคับให้ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ยอมให้สัตยาบัน (บัยอัต) กับเขา ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับในความชอบธรรมของพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่ใช่อิสลามและผิดมนุษย์ของตน ซึ่งจะทำให้รากฐานการปกครองที่อธรรมและกดขี่ของตนเกิดความมั่นคงแข็งแกร่งขึ้น แต่บุตรชายของซะฮ์รอ (อ.) ผู้ซึ่งได้เห็นแล้วว่าศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าและบทบัญญัติของอิสลามกำลังจะถูกบิดเบือน และสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนกำลังถูกย่ำยี ท่านจึงรู้ถึงหน้าที่รับผิดชอบ และเห็นว่าเป็นหน้าที่จำเป็นสำหรับตนเองที่จะต้องยืนหยัดเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ เพื่อพิทักษ์ปกป้องศาสนาและสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน แม้ว่าตัวเองและบรรดาผู้ช่วยเหลือจะต้องเป็นชะฮีด (พลีชีพ) และครอบครัวของท่านจะตกเป็นเชลยก็ตาม
ยะซีดเรียกร้องจากท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในสิ่งเดียวกันกับที่ในวันนี้บรรดาผู้ปกครองผู้กดขี่ได้เรียกร้องจากประชาชนของพวกเขา นั้นคือ การยอมจำนนต่อความต้องการที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมและขัดกับบทบัญญัติของศาสนาของพวกเขา ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ยืนหยัดขึ้นเผชิญหน้าอุตริกรรม (บิดอะฮ์) ต่างๆและความต้องการที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติทั้งหลายของยะซีด และด้วยกับการยืนหยัดต่อสู้ของท่านนี้ ท่านได้สอนบทเรียนแห่งเสรีภาพและการตื่นตัวแก่มนุษย์ผู้รู้จักหน้าที่รับผิดชอบและผู้เรียกร้องหาสิทธิเสรีภาพทั้งมวล และท่านได้ชี้แก่มนุษยชาติให้เห็นถึงหนทางแห่งการปลดปล่อยตนเองและการหลุดพ้นออกจากการปกครองแบบเผด็จการและการครอบงำของมหาอำนาจ
ในจดหมายที่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ส่งถึงมุฮัมมัด ฮะนะฟียะฮ์น้องชายของท่าน ท่านได้อธิบายถึงเป้าหมายต่างๆ ในการยืนหยัดต่อสู้และการปฏิวัติของท่าน เพื่อจะได้จดบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ และเพื่อให้บรรดาเสรีชนในอนาคตได้รับรู้และทำให้เจตนารมณ์ต่างๆ เหล่านี้บรรลุผล และในการต่อสู้กับความอยุติธรรมและการกดขี่นั้น พวกเขาจะได้เอาการปฏิวัติแห่งกัรบาลาของท่านมาเป็นแบบอย่างในการยึดถือปฏิบัติ
ในช่วงเวลานี้บรรดาผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถและอยู่ในเครือข่ายของต่างชาตินั้น ส่วนใหญ่เป็นคนชั่วร้ายและเป็นผู้อธรรม พวกเขาได้ปกครองและครอบงำเหนือชะตากรรมของประชาชน กองคลัง (บัยตุ้ลมาล)และทรัพย์สินสาธารณะของชาวมุสลิม ซัยนุลอาบิดีน บินอะลี, ฮ็อสนี มุบาร็อก และมุอัมมัร ก็อดดาฟี ในด้านศีลธรรม พฤติกรรมส่วนตัวและแนวทางการปกครอง ในหลายกรณีพวกเขาเป็นเหมือนเช่นยะซีด และบรรดาผู้ปกครองคนอื่นๆ อย่างเช่น อาลิคอลีฟะฮ์, อาลิซะอูด, อาลิซอและห์ และบุคคลอื่นๆ ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากเช่นเดียวกันกับยะซีด ซึ่งพวกเขาไม่ได้ยึดมั่นต่อสัญลักษณ์ต่างๆ ของอิสลาม ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไซออนิสต์และอเมริกา แปดเปื้อนไปด้วยเลือดของประชาชนในประเทศของพวกเขาเอง มีความละโมบและหื่นกระหายในทรัพย์สินและความมั่งคั่งของชาติและกองคลัง (บัยตุ้ลมาล) ของบรรดามุสลิม และยังประพฤติปฏิบัติสิ่งที่เป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติของอิสลามและขัดแย้งกับศีลธรรมของความเป็นมนุษย์ และในทำนองนี้อีกเป็นร้อยๆ ประการ ในตูนิเซียนั้น บินอะลีได้ห้ามการนมาซวันศุกร์ การคลุมฮิญาบในที่ทำงานต่างๆ และในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นความผิด และบุคคลอื่นๆ ก็มีพฤติกรรมต่างๆ ที่คล้ายคลึงกับเขาเช่นเดียวกัน
เกือบหนึ่งปีแล้วที่ประชาชนมุสลิมชาวอาหรับได้ตื่นตัวขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ และพวกเขาได้ยืนหยัดต่อสู้และทัดทานความต้องการต่างๆ ที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติศาสนาและการบริหารปกครองที่ไร้ความชอบธรรมของบรรดาผู้ปกครองที่ชั่วร้ายด้วยความกล้าหาญอย่างแท้จริง ประชาชนมุสลิมผู้ปฏิวัติชาวตูนิเซีย อียิปต์และลิเบียได้รับชัยชนะเหนือระบอบการปกครองต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากประชาชนและเป็นระบอบการปกครองที่ต่อต้านศาสนาของพวกเขา และพวกเขากำลังจะสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ของตนเองบนพื้นฐานข้อบัญญัติต่างๆ ของอิสลาม ด้วยการลงคะแนนเสียงของสาธารณชน ซึ่งสิ่งนี้คือผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และเป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า
บรรดามุสลิมในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวอาหรับ ซึ่งวันนี้พวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นและกำลังต่อสู้ทัดทานต่อความอธรรมต่างๆ ของบรรดารัฐบาลที่ก้มหัวให้กับตะวันตก ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาได้ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และได้เรียนรู้บทเรียนแห่งการปฏิวัติและการยืนหยัดต่อสู้จากขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอ วันนี้การยอมรับแบบอย่างอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบอย่างแห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์อันแสนอัปยศของชาวมุสลิมได้ และไม่อาจที่จะนำพาพวกเขาไปสู่ความดีงาม การแก้ไขปรับปรุงและทางนำได้
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้แสดงนำเสนอแบบอย่างของการปฏิวัติและแนวทางที่ทรงประสิทธิภาพแก่บรรดาชาวโลกสำหรับการต่อสู้กับบรรดาผู้ปกครองที่กดขี่และเผด็จการ ยุคสมัยใดก็ตามที่บรรดามุสลิมต้องประสบกับบรรดาปกครองที่กดขี่ ในการต่อสู้กับผู้ปกครองเหล่านั้นพวกเขาจะยึดเอาการยืนหยัดต่อสู้และการปฏิวัติของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นแบบอย่าง และด้วยกับแรงบันดาลใจจากอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน(อ.) นี่เองที่พวกเขาจะยืนหยัดขึ้นต่อสู้และได้รับชัยชนะเหนือบรรดาผู้ปกครองที่อธรรมและเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง แต่ถ้าหากพวกเขากลัวการต่อสู้และความตาย หรือเลือกเอาแนวทางการประนีประนอมและการยอมจำนนต่อบรรดาผู้กดขี่แล้ว พวกเขาก็จะประสบกับความต่ำต้อยและความอัปยศอดสู
นับเป็นระยะเวลายาวนานหลายปีที่บรรดามุสลิมในกลุ่มประเทศอาหรับ ถูกปกครองโดยผู้ปกครองที่กดขี่และไร้คุณสมบัติและเป็นเบี้ยของประเทศอื่น ได้ครอบงำอยู่เหนือชะตากรรมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ผ่านมา การกดขี่ การพึ่งพาประเทศอื่นและการไร้คุณสมบัติของพวกเขาได้มาถึงจุดสูงสุด และในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลทั้งหลายของพวกเขาได้กลายเป็นตัวแทนของบรรดาประเทศตะวันตกและยุโรปไปเสียแล้ว ในการบริหารกิจการต่างๆ ส่วนใหญ่ของประเทศของตนนั้น พวกเขาได้รับคำสั่งจากต่างชาติ และบนพื้นฐานของคำสั่งต่างๆ จากต่างชาตินี่เองที่พวกเขาได้จัดระบบระเบียบในการบริหารประเทศของตัวเอง และในทางปฏิบัตินั้นพวกเขาได้กลายเป็นผู้สนองตอบและผู้จัดหา (ซัพพลายเออร์)พลังงานและวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการของบรรดาบริษัทผู้ผลิตและผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของประเทศของพวกเหล่านั้น โดยที่การกำหนดราคาของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อยู่ในดุลพินิจและอำนาจของบรรดาเจ้านายชาวต่างชาติเพียงเท่านั้น ไม่มีสภาพใดที่จะเลวร้ายสำหรับบรรดาประเทศอิสลามและอาหรับที่จะจินตนาการและอดทนได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทำให้บรรดามุสลิมได้มีการพัฒนาและมีความรู้เข้าใจถึงในระดับที่สามารถรับรู้ถึงแผนการและข้อตกลงต่างๆ ที่เป็นความลับของบรรดาผู้ปกครองและได้เห็นการทรยศต่างของรัฐบาลของพวกเขา และด้วยกับแรงบันดาลใจจากอาชูรอและการปฏิบัติตามท่านอิมามฮุเซน (อ.) ทำให้พวกเขาได้สร้างขบวนการตื่นตัวแห่งอิสลามขึ้นเพื่อปลดปล่อยตนเองจากสภาพที่เลวทราม และการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาโดยที่พวกเขาได้บรรลุผลต่างๆ ที่ดีงาม และให้ความหวังอย่างมากกับบรรดามุสลิมในประเทศต่างๆ อย่างเช่น ตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบียและอื่นๆ ที่ได้ประสบชัยชนะแล้ว และในอีกหลายๆ ประเทศ อย่างเช่น เยเมน บาห์เรนและอื่นๆ ที่กำลังจะถึงเส้นชัย และในประเทศอื่นๆ ที่เหลือนั้นขบวนการตื่นตัวแบบอิสลามก็กำลังจะก่อรูปขึ้นเช่นเดียวกัน แม้แต่ในประเทศต่างๆ ของโลกก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขบวนการเคลื่อนไหวตื่นตัวของอิสลามเช่นเดียวกัน และพวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นต่อต้านรัฐบรรดาบาลที่ชั่วช้าและเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มนายทุน และได้ก่อให้เกิดขบวนการ 99% ขึ้นมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรดาประเทศตะวันตกและยุโรปจำนวนมาก และกำลังจะนำไปสู่การล่มสลาย
เป็นระยะเวลานับร้อยปีทีที่ประชาชาติมุสลิมทั้งหลายในภูมิภาคนี้ ที่พวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้ความอธรรมและการกดขี่ของบรรดารัฐบาลในเครือข่ายของตะวันตกและอิสราเอล ตลอดเวลาพวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้การดูถูกเหยียดหยามและการทำลายเกียรติที่รุนแรงที่สุด และตลอดเวลาที่เกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต้องถูกเหยียบย่ำ แต่ด้วยกับการตื่นตัวแห่งอิสลามที่ประชาชาติได้เรียกร้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และในฐานะที่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของศักดิ์ศรี ความเป็นเสรีชน และความดีงามต่างๆ แห่งความเป็นมนุษย์ พวกเขาจึงถือว่าท่านคือแบบอย่างที่ชัดเจนและทรงคุณค่าในด้านของความมั่นคงเด็ดเดี่ยวและการพลีอุทิศตน และด้วยกับการปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ ของขบวนการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของท่านอิมาม (อ.) นี่เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมากมายในโลก