@laravelPWA
อิมามมะฮ์ดีในมุมมองของปรัชญาประวัติศาสตร์ ตอนที่ 3
  • ชื่อ: อิมามมะฮ์ดีในมุมมองของปรัชญาประวัติศาสตร์ ตอนที่ 3
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 12:3:15 12-6-1404

อิมามมะฮ์ดีในมุมมองของปรัชญาประวัติศาสตร์ ตอนที่ 3

 

3. วิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ตามโลกทัศน์แห่งอัลมะฮ์ดี

 

ประวัติศาสตร์นั้นมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ซึ่งจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ตามโลกทัศน์ของอิสลามก็คือการสร้างอาดัมและเฮาวาอ์ ส่วนจุดสิ้นสุดและเป้าหมายของประวัติศาสตร์ก็คือ การเกิดขึ้นของสังคมแห่งอารยชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ในการสร้างการเคารพบูชาพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบ (อัลอุบูดียะฮ์ อัลกามิละฮ์) รวมไปถึงการสำแดงให้โลกได้เห็นถึงคุณค่าอันอมตะของพระผู้เป็นเจ้า อย่างไรก็ดี ระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดมีวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสี่ขั้นได้ดังนี้

 

       ขั้นที่หนึ่ง: การสร้างอาดัมและการพำนักอยู่ในสวรรค์


       ขั้นที่สอง: ธรรมชาติบริสุทธิ์ (อัลฟิฏเราะฮ์) และความเป็นเอกภาพ


       ขั้นที่สาม: ความขัดแย้งและความแตกแยก


       ขั้นที่สี่: สังคมแห่งอุดมคติ

 

ขั้นที่หนึ่ง: การสร้างอาดัมและการพำนักอยู่ในสวรรค์

 

ในอัลกุรอานมีโองการมากมายที่กล่าวถึงวิวัฒนาการในขั้นนี้และรายละเอียดของมัน เช่น ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 29-238 ซุเราะฮ์อัลอะอ์รอฟ โองการที่ 10-25 ซูเราะฮ์ฏอฮา โองการที่ 115-126 ซูเราะฮ์อัลหิจร์ โองการที่ 28-43 ซูเราะฮ์อัลอิสรออ์ โองการที่ 62-65 และซูเราะฮ์ศอด โองการที่ 71-85 ซึ่งการศึกษาโองการต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เราพบได้ว่า วิวัฒนาการในขั้นนี้เป็นเป็นรากฐานของประวัติศาสตร์มนุษย์ และยังส่งผลกระทบต่ออนาคตของประวัติศาสตร์มนุษย์อีกด้วย มีเหตุการณ์สำคัญมากมายที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้ ได้แก่

 

ก.การสร้างมนุษย์โดยมีส่วนประกอบจากดินและวิญญาณของพระเจ้า


ข.การเทิดเกียรติอาดัมเหนือมวลมลาอิกะฮ์


ค.จุดเริ่มต้นของความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างมนุษย์และชัยฏอน


ง.การลงมาสู่พื้นดินของอาดัมและการเริ่มต้นของขบวนการทางประวัติศาสตร์

 

ขั้นที่สอง: ธรรมชาติบริสุทธิ์ (อัลฟิฏเราะฮ์) และความเป็นเอกภาพ

 

ตามหลักฐานที่ระบุไว้ในอัลกุรอานมนุษย์ในยุคเริ่มแรกยังคงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ในช่วงเวลานั้นธรรมชาติบริสุทธิ์ (อัลฟิฏเราะฮ์) ยังคงปกคลุมไปทั่วสังคม และเอกานุภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า (อัตเตาฮีด) ก็ยังคงเป็นความเชื่อที่สังคมยึดถือ ซึ่งการอธิบายในรูปแบบนี้แตกต่างจากทฤษฎีที่อธิบายว่ามนุษย์ยุคปฐมบรรพ์ดำรงอยู่อย่างห่างไกลจากศาสนาและความเชื่อในพระเจ้า

 

สังคมของมนุษย์ในยุคปฐมบรรพ์เป็นสังคมที่เรียบง่ายและมีขอบเขตจำกัดในด้านของศักยภาพและความสามารถ อีกทั้งยังเป็นสังคมที่สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ความขัดแย้งและความเป็นศัตรูระหว่างมนุษย์เกิดขึ้นได้น้อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความขัดแย้งและความเป็นศัตรูระหว่างมนุษย์จะไม่เกิดขึ้นเลย เนื่องจากอัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องของบุตรทั้งสองของอาดัมที่มีนามว่าฮาบีลและกอบีล ซึ่งความอิจฉาริษยาที่กอบีลมีต่อฮาบีลได้เป็นเหตุให้เกิดการเข่นฆ่าสังหารกันจนกลายมาเป็นอาชญากรรมแรกที่เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์

 

และสืบเนื่องมาจากการแพร่ขยายของสังคมมนุษย์ในยุคปฐมบรรพ์ การเพิ่มขึ้นของจำนวนสมาชิกในสังคม การเกิดความแตกต่างขึ้นอย่างชัดเจน รวมไปถึงความแตกต่างในลักษณะนิสัยและความต้องการ ความขัดแย้งจึงได้เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกในสังคม ทำให้ความเป็นเอกภาพต้องสั่นคลอน เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จึงมีความจำเป็นต้องอาศัยสิ่งที่จะมากำหนดวิถีชีวิตที่ถูกต้องให้แก่เขา จึงได้เกิดศาสดาที่มีหน้าที่ในการออกบทบัญญัติขึ้นเพื่อยุติความขัดแย้ง และนี่ก็คือการเริ่มต้นของวิวัฒนาการขั้นใหม่ นั่นคือขั้นแห่งความแตกแยก    

 

ขั้นที่สาม: ความแตกต่างและความแตกแยก

 

“มนุษย์เคยรวมตัวกันเป็นประชาชาติเดียว จากนั้นอัลลอฮจึงได้ทรงส่งบรรดาศาสดามาเพื่อเป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือน และพระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์อันเปี่ยมไปด้วยความจริงมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อที่มันจักได้ตัดสินมวลมนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน” (อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 213)

 

ตามธรรมชาติบริสุทธิ์ (อัลฟิฏเราะฮ์) มนุษย์เป็นผู้ที่มีความต้องการในสังคม ซึ่งธรรมชาติบริสุทธิ์จะเรียกร้องมนุษย์ไปสู่การรวมตัวกันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เช่นเดียวกันกับที่ธรรมชาติบริสุทธิ์เรียกร้องไปสู่การรวมตัวกัน มันก็จะเรียกร้องให้มนุษย์ให้ความสำคัญกับความต้องการและประโยชน์ส่วนตนของเขาก่อนผู้อื่นด้วย และเช่นเดียวกับที่ธรรมชาติบริสุทธิ์เรียกร้องไปสู่การรวมตัวและการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมันก็จะเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งด้วยเช่นกัน ดังที่อัลลามะฮ์ฏอบาฏอบาอีผู้เขียนตัฟซีรอัลมีซานได้อธิบายไว้ว่า

 

“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของการรวมตัวกันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในช่วงแรกมนุษย์ยังคงรวมตัวกันเป็นประชาชาติเดียว ต่อมาก็ได้เกิดความขัดแย้งในการแสวงหาปัจจัยยังชีพโดยเป็นไปตามธรรมชาติบริสุทธิ์ เป็นเหตุให้ต้องมีการบัญญัติกฎหมายที่มายุติข้อพิพาทและข้อขัดแย้งในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต แล้วกฎหมายก็ได้กลายมาเป็นศาสนาที่ทำหน้าที่ในการแจ้งข่าวดีและเตือนถึงผลรางวัลและการลงโทษ อีกทั้งทำการปฏิรูปการเคารพบูชาพระเจ้าด้วยการส่งศาสดาและศาสนทูต ต่อมามนุษย์ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันในความรู้ด้านศาสนา รวมถึงจุดกำเนิดและบั้นปลายชีวิต ก่อให้เกิดความสั่นคลอนต่อเอกภาพของศาสนา แล้วเกิดเป็นกลุ่มคนและชนชาติต่าง  ๆ จากนั้นความแตกต่างอื่น ๆ ก็เกิดขึ้นมาเป็นลำดับ ซึ่งความแตกต่างประการที่สองนี้มิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากการละเมิดของผู้ที่ได้รับคัมภีร์ และปฏิบัติในสิ่งที่เป็นอธรรม หลังจากที่หลักการพื้นฐานและความรู้ได้เป็นที่กระจ่างชัดสำหรับพวกเขา อีกทั้งข้อพิสูจน์ยังได้มาสู่พวกเขาอย่างสมบูรณ์”[1]     

         

ขั้นที่สี่: สังคมแห่งอุดมคติ

 

ทัศนคติของอิสลามที่มีต่อปรัชญาประวัติศาสตร์เป็นทัศนคติที่มองโลกในแง่ดี อิสลามมองอนาคตของมนุษยชาติในแง่บวกและมีความเห็นสอดคล้องกับสำนักคิดอื่น ๆ ที่เชื่อในอนาคตที่เต็มไปด้วยความผาสุก ความรุ่งโรจน์ และความยุติธรรม ซึ่งอิสลามมองว่าในจุดสิ้นสุดของวิถีทางทางประวัติศาสตร์ บรรดากัลยาณชนและผู้ที่มีความยำเกรงต่อพระเจ้าจะได้เป็นใหญ่ อีกทั้งผู้ที่ถูกกดขี่ก็จะได้ปกครองผืนแผ่นดิน ดังโองการที่กล่าวว่า “เราได้บันทึกไว้ในซะบูรหลังจากอัซซิกร์ (เตารอต) ว่า แผ่นดินนี้จักสืบทอดโดยปวงบ่าวของข้าที่มีคุณธรรม” (อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลอันบิยาอ์ โองการที่ 105) และ “และเราได้มอบมรดกให้แก่กลุ่มชนที่เคยถูกกดขี่ซึ่งประจิมทิศและบูรพาทิศของผืนพิภพที่เราได้บันดาลความจำเริญไว้ในนั้น และพระพจนารถอันดีงามขององค์อภิบาลของเจ้าก็ได้เป็นที่บริบูรณ์แล้วแก่ลูกหลานแห่งอิสราเอลในการที่พวกเขาได้อดทน และเราได้ทำลายสิ่งที่ฟาโรห์และกลุ่มชนของเขาได้ทำขึ้น และสิ่งที่พวกเขาได้สร้างไว้” (อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลอะอ์รอฟ โองการที่ 137) ซึ่งการมอบมรดกของพระผู้เป็นเจ้าที่กล่าวถึงในโองการเหล่านี้ก็คือการที่พระองค์ทรงปฏิบัติตามพันธสัญญาของพระองค์ที่ทรงประสงค์ให้ผู้ศรัทธาได้มีอำนาจและเป็นตัวแทนของพระองค์ในสังคมที่ปราศจากซึ่งการตั้งภาคี

 

“อัลลอฮได้ทรงสัญญาไว้กับผู้ศรัทธาในหมู่สูเจ้าและผู้ที่ปฏิบัติดีว่า พระองค์จักทรงให้พวกเขาได้เป็นตัวแทนบนหน้าแผ่นดินเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงให้ชนก่อนหน้าพวกเขาเป็นตัวแทน และพระองค์จักทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัยเป็นที่มั่นคงแก่พวกเขา และหลังจากความหวาดกลัวของพวกเขาพระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนให้มันเป็นความปลอดภัย ให้พวกเขาได้เคารพบูชาข้า และไม่ตั้งภาคีต่อข้าด้วยสิ่งใด และหากผู้ใดปฏิเสธหลังจากนั้นก็ถือว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ชั่วช้า” (อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อันนูร โองการที่ 55)

 

สังคมแห่งความดีงามนี้เป็นความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่ากาลเวลาจะเนิ่นนานเพียงใด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ตัวบทรายงานได้กล่าวถึงไว้ในทุก ๆ นิกายของอิสลามว่า

 

“มาตรแม้นว่ากาลเวลาจะเหลืออยู่เพียงหนึ่งวัน อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งก็จะส่งบุรุษหนึ่งมาจากวงศ์วานของฉัน เขาจะทำการเติมเต็มโลกนี้ด้วยความยุติธรรม เฉกที่มันเคยเต็มไปด้วยความฉ้อฉล”[2]

 

“ถึงแม้ว่าโลกดุนยานี้จะมีเวลาเหลืออยู่เพียงวันเดียว อัลลอฮผู้ทรงสูงส่งก็จะทรงยืดเวลาของวันนั้นให้ยาวนานขึ้น จนกว่าบุรุษหนึ่งจากวงศ์วานของฉันจักได้ครอบครองภูเขาดัยลัมและคอนสแตนติโนเปิล”[3]

 


แหล่งอ้างอิง


(1)    อัลมีซาน ฟีย์ ตัฟซีรกุรอาน ผู้เขียน มูฮัมมัดฮูเซน ฏอบาฏอบาอี เล่ม 2 หน้าที่ 113
(2)    อัลอิมามอัลมะฮ์ดีย์ อินดะ อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ผู้เขียน มะฮ์ดีย์ อัลฟะกีฮ์ อีมานี หน้าที่ 207
(3)    เล่มเดิม

 

บทความโดย เชคมิกด๊าด วงศ์เสนาอารี