อิมามมะฮ์ดีในมุมมองของปรัชญาประวัติศาสตร์ ตอนที่ 2
2. อิมามกับประชาชาติ
ประเด็นที่สองที่จะต้องทำการศึกษากันก็คือ ความเชื่อในผู้นำและอิมามผู้ปลดปล่อยเป็นเหตุผลที่จะมาปฏิเสธหน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชาติ ดังเช่นที่บางแนวคิดที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรอคอยเชื่อกันหรือไม่?
หากพิจารณาตามคำสอนของอัลกุรอาน ประชาชาติอิสลามถือเป็นกลุ่มชนที่มีหน้าที่รับผิดชอบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตัวบทมากมายได้กล่าวถึงไว้ เช่น
“สูเจ้าเคยเป็นประชาชาติที่ดีที่สุดที่ได้ถูกนำมาสู่มวลมนุษย์ กำชับกันให้ทำความดีและห้ามปรามการทำชั่ว และศรัทธาในอัลลอฮ” (อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อาลุอิมรอน โองการที่ 110)
“และเช่นนี้ที่เราได้กำหนดให้สูเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง เพื่อที่สูเจ้าจักได้เป็นสักขีพยานแก่มวลมนุษย์ และศาสนทูตก็จะเป็นสักขีพยานแก่สูเจ้า” (อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 143)
ประชาชาติที่อัลกุรอานกล่าวถึงนี้เป็นไปไม่ได้ที่อุดมการณ์ของมันจะหยุดนิ่งลง ในทางตรงกันข้าม กลับจะต้องเป็นสังคมที่มีการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายปลายทางอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่ไม่มีการหยุดนิ่งไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม นั่นก็เพราะว่าอุดมการณ์ของประชาชาตินี้ยึดโยงอยู่กับอัลลอฮผู้ไม่มีวันตาย อีกทั้งยังยึดโยงอยู่กับผู้เป็นสักขีพยานอย่างท่านศาสดาและบรรดาอิมาม และถึงแม้ว่าการปรากฏกายของอิมามจะมีส่วนช่วยให้ประชาชาติปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทว่าการเร้นกายของท่านก็ไม่อาจเป็นเหตุผลที่จะมาผ่อนปรนประชาชาติจากหน้าที่ทางศาสนาและความรับผิดชอบที่มีต่อประวัติศาสตร์ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น การเร้นกายของอิมามยังก่อให้เกิดภาระหน้าที่ใหม่ที่ให้ความสำคัญแก่ประชาชาติในการบรรลุถึงเป้าหมายอีกด้วย
การเร้นกายของอิมามมิได้หมายถึงการเกิดช่องว่างในการชี้นำจนประชาชาติต้องกลายเป็นเหมือนฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู ทว่ายังตัวแทนที่ทำการชี้นำและปกปักรักษาสาส์นแห่งการเป็นตัวแทนของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน (ริสาละฮ์ อัลอิสติคลาฟ) ซึ่งนี่ก็ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของภาระหน้าที่ที่ประชาชาติมี นั่นก็คือ การปกปักรักษาสถาบันแห่งการวินิจฉัย (อัลอิจญ์ติฮาด) การสนับสนุน และผลักดันให้มีผู้นำทางนิติบัญญัติที่มีศักยภาพในการชี้นำประชาชาติอิสลามเกิดขึ้น
กล่าวโดยสรุปคือ ประชาชาติและอิมามนั้นถือเป็นปีกสองข้างที่คอยพยุงประวัติศาสตร์ไว้ด้วยกัน และเป็นไปไม่ได้ที่ขบวนการนี้จะทะยานสู่ฟากฟ้าแห่งการสิ้นสุดโดยปราศจากปีกข้างใดข้างหนึ่ง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้จากรากคำในทางภาษาของคำสองคำนี้ คือ คำว่า “อัลอุมมะฮ์” (ประชาชาติ) และ “อัลอิมาม” (ผู้นำ) ซึ่งอิมามนั้นทำการนำประชาชาติ (ยะอุมมุลอุมมะฮ์) อีกทั้งประชาชาติ (อุมมะฮ์) ก็จำเป็นจะต้องมีผู้นำ (อิมาม) ที่คอยนำพวกเขาในการเดินหน้า (อัลอิมาม ยะกูดุลอุมมะฮ์ อิลัลอะมาม)
ดังนั้น ในยุคแห่งการเร้นกาย (อัศร์ อัลฆ็อยบะฮ์) ประชาชาติก็ยังคงมีหน้าที่ต่อสังคมในการเป็นสักขีพยานต่อมวลมนุษย์ สนับสนุนการทำความดีและห้ามปรามการทำชั่ว การดำรงไว้ซึ่งศาสนาและพิทักษ์รักษาเสาหลักของมัน เช่นเดียวกับที่มีหน้าที่ในการสร้างความสมบูรณ์ให้แก่เงื่อนไขในการปรากฏกาย (อัซซุฮูร) ด้วยการสร้างผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์ใจ ผู้ที่ได้ผ่านความยากลำบาก บททดสอบ และการต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาศาสนา และเป็นผู้ให้การช่วยเหลือมนุษย์ผู้ถูกกดขี่และด้อยโอกาส การเกิดขึ้นของผู้นำในลักษณะดังกล่าวในประชาชาติอิสลามถือเป็นหลักประกันในการสร้างกลุ่มคนที่จะให้การช่วยเหลืออิมามในระยะยาว อีกทั้งยังสร้างกลุ่มคนแนวหน้าที่มีความสามารถในการบริหารกิจการของรัฐบาลโลกและสังคมแห่งความยุติธรรมเพื่อเตรียมรับการมาปรากฏกายของอิมามอีกด้วย
บทความโดย เชคมิกด๊าด วงศ์เสนาอารี