@laravelPWA
อิมามมะฮ์ดีในมุมมองของปรัชญาประวัติศาสตร์ ตอนที่ 1
  • ชื่อ: อิมามมะฮ์ดีในมุมมองของปรัชญาประวัติศาสตร์ ตอนที่ 1
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 12:3:15 12-6-1404

อิมามมะฮ์ดีในมุมมองของปรัชญาประวัติศาสตร์ ตอนที่ 1

 

ความนำ          


แนวคิดเรื่องอิมามมะฮ์ดีมิได้เป็นแนวคิดที่อุปโลกน์ขึ้นโดยชนชาติใดชนชาติหนึ่งและมิได้เป็นนิยายปรัมปราที่แต่งขึ้นโดยผู้ด้อยโอกาสและผู้ถูกกดขี่ในหน้าประวัติศาสตร์เพื่อทดแทนสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของพวกเขา ทว่ามันเป็นความเชื่ออันมั่นคงที่มีอยู่ในทุกศาสนา อีกทั้งยังเป็นความเชื่อที่เป็นที่เห็นพ้องต้องกันในหมู่มุสลิมถึงแม้ว่าจะมีข้อแตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อยบ้างก็ตาม ซึ่งในกระบวนทัศน์ของอิสลาม ความเชื่อดังกล่าวมีที่มาจากตัวบทที่ชัดเจนของอัลกุรอาน รวมไปถึงหะดีษที่มีอยู่เป็นจำนวนมากถึงระดับที่สร้างความมั่นใจในความถูกต้องและขจัดข้อสงสัยในความเป็นเท็จของมันได้ (ตะวาตุร)


ในท่ามกลางนิกายต่าง ๆ ของศาสนาอิสลาม ถือได้ว่าชีอะฮ์เป็นนิกายที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษในการนำเสนอแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับอิมามมะฮ์ดี ซึ่งชีอะฮ์ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้เป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีตัวบททางศาสนาและรายละเอียดที่บันทึกไว้มากกว่านิกายอื่น ๆ ทั้งหมด ในบทความนี้เราจะพยายามศึกษาถึงรายละเอียดใหม่ ๆ เกี่ยวกับปรัชญาประวัติศาสตร์ที่สามารถวิเคราะห์ได้จากโลกทัศน์อิสลามโดยรวมตามหลักคิดของชีอะฮ์ที่มีความเชื่อในอิมามท่านที่ 12 รวมไปถึงการเร้นกาย (อัลฆ็อยบะฮ์) การรอคอย (อัลอินติซอร) และการปรากฏกาย (อัซซุฮูร) ซึ่งชีอะฮ์เป็นเพียงนิกายเดียวที่กล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน   

 

รายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีได้ก่อให้เกิดคำถามและข้อสงสัยขึ้นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์ (สุนัน อัตตารีค) รวมไปถึงการปรากฏกาย บทบาทของมหาบุรุษ (อัลมะฮ์ดี) ที่โดดเด่นเหนือมวลชน แนวคิดที่เกี่ยวกับการรอคอย และการปฏิเสธบทบาทหน้าที่ของปัจเจกบุคคลและประชาชาติในการสร้างอารยธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้การนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องอิมามมะฮ์ดีและผลกระทบของแนวคิดนี้ที่มีต่อความเข้าใจในประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรแก่การศึกษา

 

และในบทความนี้เราจะทำการศึกษาในประเด็นที่สำคัญต่าง ๆ ดังนี้

1.ความเชื่อในอิมามมะฮ์ดีขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์หรือไม่?
2.บทบาทของอิมามมะฮ์ดีที่มีต่อประวัติศาสตร์เป็นเหตุผลที่จะมาปฏิเสธหน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชาติหรือไม่?
3.พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ตามโลกทัศน์แห่งอัลมะฮ์ดี

 

1. อัลมะฮ์ดีกับกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์

 

ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งทำการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของอิมามมะฮ์ดีในการปฏิรูปและการนำสังคมมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความผาสุก เขาก็อาจคิดไปได้ว่าขบวนการทางประวัติศาสตร์และการสร้างอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับผู้นำท่านนี้เท่านั้น โดยที่องค์ประกอบอื่น ๆ ไม่มีความสำคัญใด ๆ เพราะบุคคลคนเดียวที่สามารถสร้างชัยชนะอันยิ่งใหญ่ได้ก็คืออิมามผู้เร้นกาย (อัลอิมาม อัลฆออิบ)

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะถือว่าความเชื่อในอัลมะฮ์ดีขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์ (สุนัน อัตตารีค) หรือไม่?

 

ก่อนจะตอบคำถามข้างต้น เป็นการดีที่เราจะทำการแก้ไขปัญหาในระดับทฤษฎีโดยรวม เพราะว่าข้อสงสัยดังกล่าวโดยพื้นฐานแล้วตั้งขึ้นมาเพื่อถามเกี่ยวกับกฎและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ว่า ทั้งสองสิ่งนี้สามารถรวมกันได้หรือไม่? แล้วมนุษย์จะกำหนดชะตากรรมของเขาได้อย่างไรในขณะที่กฎเกณฑ์ต่าง ๆ นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแปรผัน? ด้วยเหตุนี้เอง คนบางกลุ่มจึงคิดว่าการปกป้องหลักการที่ว่าด้วยเจตจำนงเสรีของมนุษย์เป็นการปฏิเสธแนวคิดที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์ โดยยกเว้นไว้เพียงเรื่องของประวัติศาสตร์เท่านั้น และเช่นเดียวกันนี้ พวกเขาก็กล่าวว่า ความเชื่อในอิมามมะฮ์ดีในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำการปฏิวัติโลกจำเป็นจะต้องควบคู่ไปกับการปฏิเสธแนวคิดที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อในกฎเกณฑ์อันแน่นอนของประวัติศาสตร์มิได้ขัดแย้งกับเจตจำนงเสรีของมนุษย์แต่อย่างใด ตามที่ชะฮีดมุฮัมมัด บากิร อัศศ็อดร์ ได้กล่าวไว้ว่า

“กฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์มิได้มาจากฟากฟ้า แต่มันมาจากน้ำมือของมนุษย์เอง ‘แท้จริงอัลลอฮไม่ทรงเปลี่ยนแปลงกลุ่มชนใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวของพวกเขาเอง’ ‘มาตรแม้นว่าพวกเขาดำรงอยู่ในหนทางที่เที่ยงตรง เราก็ให้สายน้ำไหลหลั่งลงมาสู่พวกเขาอย่างมากมาย’ ฉะนั้น มนุษย์ก็ยังคงมีจุดยืนทางศรัทธาที่แสดงให้เห็นถึงอิสรภาพ การเลือกสรร และการตัดสินใจของเขา ซึ่งจุดยืนดังกล่าวจะนำมาซึ่งความเชื่อมโยงกับกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์ อันจะนำไปสู่การตอบแทนที่เหมาะสม และผลที่เหมาะสมกับเหตุของมัน”[1]


และตามที่กล่าวมานี้ก็ถือได้ว่า ข้อสงสัยที่กล่าวว่าแนวคิดที่เชื่อในกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์และความเชื่อในผู้นำผู้ปลดปล่อยมีความขัดแย้งกันก็ถือเป็นข้อสงสัยที่ไร้น้ำหนัก เพราะความเชื่อในผู้นำท่านนี้มิได้ปฏิเสธองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีส่วนสำคัญในขบวนการทางประวัติศาสตร์ นั่นก็เพราะว่าองค์ประกอบที่มีส่วนในการผลักดันขบวนการทางประวัติศาสตร์นั้นมีหลากหลาย ทั้งมนุษย์ มหาบุรุษ กฎเกณฑ์ สภาวะที่พ้นญาณวิสัย (อัลฆ็อยบ์) ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อัลมะฮ์ดีนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดการปฏิวัติโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่ย้อนกลับไปยังแผนการของพระเจ้าที่มีต่อการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์และการเกิดขึ้นของสังคมแห่งความยุติธรรมที่ปกครองโดยอิมามผู้ปราศจากความผิดพลาด (อัลอิมาม อัลมะอ์ศูม) โดยที่เราจะเห็นได้ถึงแผนการของพระผู้เป็นเจ้าจากการพิทักษ์รักษาชีวิตของผู้นำการปฏิวัติโลก รวมถึงการประทานอายุขัยอันยืนยาวให้แก่ท่าน ดังที่เป็นประเด็นศึกษากันในหัวข้อปรัชญาของการเร้นกาย

 

แหล่งอ้างอิง

 

[1]หนังสืออัตตัฟซีร เมาฎูอี ลิลกุรอาน ผู้เขียน มูฮัมมัดบากิร อัศศ็อดร์ หน้า 84


บทความโดย เชคมิกด๊าด วงศ์เสนาอารี